James Quincey ซีอีโอ Coca-Cola ส่งสัญญาณในงานแถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ว่ากำลังพิจารณาขึ้นราคาสินค้า Coca-Cola ในสหรัฐฯ ช่วงไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ โดยยอมรับว่าการขึ้นราคาช่วงกลางปีนั้นเป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับบริษัท แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อให้บริษัทอยู่รอด
เหตุผลที่ Coca-Cola โยนบาปให้ในฐานะต้นตอที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งนี้ คือมาตรการภาษีใหม่ล่าสุดของประธานาธิบดี Donald Trump จุดนี้ Coca-Cola พยายามแสดงจุดยืนว่าตัวเองได้รับผลกระทบเต็มที่เพราะมาตรการภาษีใหม่ทำให้การนำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมสู่สหรัฐฯ มีราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้า Coca-Cola เพิ่มขึ้นจนแบกรับไม่ไหว
การส่งสัญญาณนี้กลบข่าวดีเรื่อง Coca-Cola ทำรายได้ทะลุเป้าในไตรมาสที่ผ่านมาเสียมิด โดยซีอีโอ Coca-Cola ย้ำชัดเจนว่าการปรับขึ้นราคาครั้งล่าสุดในสินค้ากลุ่มน้ำอัดลม “ทุกรุ่นของ Coke” เป็นผลจากการกระทำของ Trump ทั้งสิ้น
ยังไม่ชัดว่าราคาขึ้นเท่าใด
ซีอีโอ Coca-Cola ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่ามาตรการด้านภาษีโลหะเป็นเพียง 1 ในหลายปัจจัยที่ทำให้ Coca-Cola ตัดสินใจไม่ทน และจะประกาศขึ้นราคาในช่วงกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ Coca-Cola ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลว่าราคาน้ำอัดลมในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
อัตราภาษีที่ถูกกำหนดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้การนำเข้าเหล็กสู่สหรัฐฯ จะต้องเสียภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การนำเข้าอะลูมิเนียมจะมีอัตราภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดเป็นผลจากการประกาศเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการรักษาสัญญาเรื่องการปกป้องตลาดอเมริกาจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจีน มาตรการภาษีนี้ยังพุ่งเป้าที่การนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก และพื้นที่อื่น
สำหรับประเด็นนี้ ซีอีโอ Coca-Cola กล่าวเองว่าการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงกลางปี เป็นเรื่องที่ “ค่อนข้างผิดปกติ” สำหรับบริษัท และแม้จะยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงต้นทุนการผลิตจะต้องถูกส่งผ่านสู่ตลาด แต่การกำหนดราคาในระดับร้านค้า ก็จะต้องได้รับการพิจารณาจากผู้ค้าปลีก ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินราคาที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคเมื่อหยิบสินค้าออกจากชั้นวางในท้ายที่สุด
นักลงทุนไม่กังวล หุ้น Coca-Cola ยังพุ่ง
การแสดงจุดยืนต้านมาตรการภาษีใหม่นี้ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Coca-Cola เห็นได้ชัดจากหุ้น Coca-Cola ที่ขยับขึ้นเล็กน้อยหลังการประกาศข่าวนี้
สิ่งที่เราสามารถสรุปได้จากปรากฏการณ์นี้ คือ Coca-Cola กำลังพยายามงัดข้อกับนโยบายของประธานาธิบดี ด้วยการแสดงให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายนี้ โดยที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของรัฐหรือ State beverage industry officials เคยออกมาให้ข่าวว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแดนลุงแซมนั้นกังวลว่าอัตราภาษีใหม่อาจส่งผลลบต่อการจ้างงาน แถมยังส่งให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้น และก่อให้เกิดผลกระทบในระยะยาวต่อธุรกิจ
จุดนี้ ซีอีโอ Quincey ของ Coca-Cola ก็ย้ำกับสื่อว่ามาตรการภาษีนี้จะส่งให้เกิดการค้าที่น้อยลง ทำให้การเก็บภาษีที่มากขึ้นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น้อยลงในตอนท้าย และจะส่งผลต่อ Coca-Cola ในที่สุด
ผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Coca-Cola นั้นดีกว่าคาดการณ์ ส่งให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 0.53 เซนต์ ที่ผ่านมา Coca-Cola พยายาม rebranding เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่จนนำไปสู่การ relaunch เครื่องดื่มไร้น้ำตาลหรือ Coca-Cola Zero Sugar ผลคือยอดขายตอบรับดีมากจนเติบโตเป็นเลข 2 หลักในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็จัดเต็มเปิดตัวเครื่องดื่มพลังงานต่ำไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ ซีอีโอ Coca-Cola ภาคภูมิใจจนบอกว่า Coca-Cola Zero Sugar เป็นสินค้าที่ Coca-Cola ทำได้ดีกว่าสินค้ากลุ่มอื่น ซึ่งในอนาคต Coca-Cola ก็จะดำเนินการต่อไปในฐานะบริษัทเครื่องดื่มที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคมากที่สุด.
ที่มา
- https://www.myajc.com/business/economy/trump-tariffs-lead-price-increases-for-coca-cola-products/ADkGLnloPIEj0q2hXyjt1K/
- http://fortune.com/2018/07/28/coca-cola-raising-prices-trump-tariffs/