“ตัวตนของศูนย์การค้าต้องไม่แปลกแยกกับความเป็นตัวตนของพัทยา แต่ต้องช่วยส่งเสริมให้พัทยาดูดีขึ้นซึ่งสอดรับกับทิศทางการพัฒนาของเมืองพัทยา” นั่นคือหนึ่งในเป้าหมายหลักที่ ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บอกถึงคอนเซปต์ของการปั้น “เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช” ให้เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในพัทยา เป็นหนึ่งในทุนจากส่วนกลางที่ร่วมสร้างบ้านแปลงเมืองพัทยาในยุคนี้
Positioning ของศูนย์การค้าแห่งนี้คือ ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ติดชายหาดธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีความยาวติดชายหาด 111 เมตร ลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินลงทุนที่สูงกว่าสาขาลาดพร้าวและแจ้งวัฒนะ โดยมีบริษัท M.A.A.R ของไทย และ Benoy จากอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบรีเทลเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ
“ดีไซน์ต้องตอบโจทย์ความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ขณะเดียวกันต้องตอกย้ำจุดยืนของซีพีเอ็นในการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกและพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และที่สำคัญต้องแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นที่มีอยู่แล้ว ด้วยรูปทรงของตัวอาคารแบบเคิร์ฟใช้กระจกเป็นวัสดุหลักในการตกแต่งบริเวณด้านหน้าศูนย์ที่ติดริมหาดซึ่งเป็นเทรนด์การออกแบบศูนย์การค้าสมัยใหม่ทั่วโลก เพื่อรับแสงธรรมชาติ ผสานกับไม้ให้ความรู้สึกแบบรีสอร์ท”
ณัฐกิตติ์ บอกว่า ธีมในการออกแบบ คือ Resort Style ผสานกับ City Life สะท้อนถึงHoliday Spirit ซึ่งหมายถึงความสนุกสนาน สีสันแห่งการพักผ่อน คนมาเดินที่ศูนย์จะแต่งตัวสบายๆ สไตล์แคชชวล ส่วนร้านค้าต่างๆก็ตกแต่ง Merchandizing ต่างๆ ที่เป็นกันเอง มีชีวิตชีวา ทำให้ศูนย์การค้าแห่งนี้เป็น Recreation Place โดยแท้จริง
“เราดึงคนตั้งแต่หน้าหาด ด้วยบันไดเลื่อนที่ติดกับฟุตบาทเลย เพื่อให้เขาเข้ามาในศูนย์เราง่าย สะดวก ด้าน การตกแต่งดีไซน์ค่อนข้างเปิดโล่งให้ความรู้สึกโปร่ง และสะท้อนภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ดีไซน์บริเวณด้านนอกของศูนย์จะมีลานโล่งตรงกลาง พร้อมวิดีโอวอลล์ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับอีเว้นท์ต่างๆ ซึ่งจะทุ่มทุนจัดกว่า 100 ล้านบาทต่อปี”
ที่นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำคำกล่าวที่ว่า “สถาปัตยกรรมเปลี่ยนเมือง” ได้เป็นอย่างดี
เซ็นทรัล เฟตสิวัล พัทยา บีช ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนเลียบหาด อีกด้านติดกับถนนพัทยาสาย 2 เปิดบริการมากกว่า 12 ชั่วโมง ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงห้าทุ่ม เพราะพัทยาคือเมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนยากจะหลับไหลและไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเวลากลางคืน
บนพื้นที่ขายขนาด 220,000 ตารางเมตร มีการดีไซน์ของศูนย์ฯ ที่จัดอยู่ในขั้น “หรู” โดยอยู่ในระดับเดียวกับเซ็นทรัล เวิลด์ รวมถึงร้านค้าต่างๆ ที่เซ็นทรัล เวิลด์มี ไม่ต่ำกว่า 70% ก็มีให้บริการที่นี่เช่นเดียวกัน ขณะที่ “ค่าเช่า” ก็แพงใกล้เคียงและสูสีกับค่าเช่าของเซ็นทรัล เวิลด์เลยทีเดียว ส่วนการตกแต่งในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลก็เทียบชั้นเซ็นทรัล ชิดลม อันเป็นที่สุดด้านความหรูหราของเซ็นทรัล และสิ่งหนึ่งที่เทียบชั้นกับเซ็นทรัล เวิลด์ และเซ็นทรัล ชิดลม คือ Central Food Hall ซึ่งเป็นสาขาที่ 3 ของซูเปอร์มาเก็ตระดับไฮเอนด์แห่งนี้
ที่นี่ยังมีแบรนด์แฟชั่นกว่า 200 แบรนด์ แบรนด์กรีฑาทัพมาร่วมกันดึงดูดลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงไม่ว่าจะเป็น AX,DIESEL,DKNY Jeans, ZARA,Massimo Dutti, TOPSHOP และ DOROTHY PERKINS เป็นต้น และยังมีร้านอาหารอีก
นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์ของเอสเอฟ เอ็กซ์ ซีนีม่า ซิตี้ ที่แม้จะเปิดตัวที่พัทยาหลังเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์เกือบ 2 ปี แต่ก็สร้างความตื่นตะลึงและแปลกใหม่ด้วยโรงภาพยนต์เอ้าท์ดอร์ ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลของพัทยาได้เป็นแห่งแรกของพัทยาและเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
ขณะที่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นที่นี่แล้ว เมื่อแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดอย่าง KFC และ A&W จับจองพื้นที่โซนติดชายหาด สามารถมองเห็นวิวทะเลและเมืองพัทยาแบบพาโรนามาประหนึ่งดินเนอร์ในภัตตาคารหรู ซึ่งพบว่ากลายเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวไปแล้ว
ไม่เพียงแต่พื้นที่ค้าปลีกเท่านั้น ศูนย์แห่งนี้ยังประกอบไปด้วยโรงแรมที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบอีกด้วย โดยซีพีเอ็นเลือกแบรนด์ ฮิลตัน ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ของปี 2553 และจะถือเป็นเชนโรงแรมล่าสุดที่จะมาประชันความเป็น 5 ดาวในพัทยา และด้วยความแข็งแกร่งของเชนนี้ที่มีเครือข่ายมากมายในทวีปอเมริกาและยุโรป อาจจะช่วยดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่ยังมีจำนวนน้อยมาท่องเที่ยวพัทยาได้มากขึ้นด้วย
ว่ากันถึงจำนวนนักช้อป ในเวลานี้ traffic ช่วง Weekday อยู่ที่ 40,000-50,000 คน ขณะที่ Weekend เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 คน แบ่ง เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 60% และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 40% โดยยอดการช้อปปิ้งของคนต่างชาติอยู่ราว 4,000-5,000 บาทต่อบิล ขณะที่นักช้อปชาวไทยอยู่ที่ 2,000-2,500 บาทต่อบิล
และเพื่อโปรโมทรวมถึงดึงดูดนักช้อปให้เพิ่มมากขึ้น ที่นี่จึงระดมจัดอีเว้นท์จำนวนอีเว้นท์ต่อปีทั้งที่ทางซีพีเอ็นจัดและร้านค้าเช่าจัดรวมกันไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งต่อปี รวมถึงการโรดโชว์นอกสถานที่ด้วย เพราะลำพังจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยความใหญ่โตโอฬารของพื้นที่คงไม่เพียงพอ
“พยายามกระตุ้นให้คนระยอง ชลบุรี มาเที่ยว ด้วยการไปโรดโชว์ตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งประชากรในแถบนั้นเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีรายได้มาก แต่ยังไม่มีศูนย์การค้าที่รองรับการจับจ่ายของพวกเขาได้อย่างเต็มที่”
แม้พัทยาจะเผชิญกับมรสุมหลายระลอก แต่เมื่อลงหลักปักฐานแล้ว ประสบการณ์กว่าของซีพีเอ็นที่มีเกือบ 30 ปี น่าจะขับเคลื่อนเซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช ให้เติบโตต่อไปได้ แม้ในรอบเดือนที่ผ่านมาผู้คนจะเงียบเหงาและนักท่องเที่ยวจะบางตาจนน่าใจหาย
อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า Strategic Move ครั้งนี้ ถือเป็นหน้าเป็นตาของเซ็นทรัล กรุ๊ป เป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกของการทำธุรกิจที่พัทยา แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่กลายเป็นแม่เหล็กสำคัญและเป็นตัวเอกของ Modern Pattaya เลยทีเดียว
ว่ากันว่าไลฟ์สไตล์ของคนเชียงใหม่ใกล้เคียงกับคนกรุงเทพฯ แต่ ณ ขณะนี้คนพัทยาก็ได้เรียนรู้ไลฟ์สไตล์ดังกล่าวแล้วเช่นเดียวกันจากศูนย์การค้าที่เข้ามาเปลี่ยนเมืองพัทยาด้วยดีไซน์ รวมถึงสินค้าและบริการที่ไม่แตกต่างจากศูนย์การค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ เลย
จุด แตกต่าง (Unique Selling Point)
1.เป็นศูนย์การค้าติดหาดธรรมชาติที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในเอเชีย ความใหญ่ของพื้นที่ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าได้หลากหลายและครบครัน มีหน้ากว้าง 111 เมตร ตกแต่งแบบ Resort Sytle + City Life ให้บรรยากาศของการช้อปปิ้งที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
2.Variety of Merchandising Mix ประกอบด้วยฮิลตัน พัทยา โรงแรม 5 ดาว International Brand รวมถึงแฟชั่นแบรนด์เนมกว่า 200 ร้านค้าเทียบชั้นเซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัลชิดลม
โรงภาพยนตร์ Flagship ของเครือ SF
ร้านอาหารหลากสไตล์มากกว่า 40 ร้านค้าทั้งอินดอร์และเอ้าท์ดอร์
3.Rewarding Experience ประสบการณ์ช้อปปิ้ง/รับประทานอาหารภายใต้แสงธรรมชาติและมองเห็นวิวทะเลพัทยาในมุมสูง



