ด้วยผลกระทบจากเม็ดเงินโฆษณาทีวีไม่เติบโตแถมยังลดลงต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้รายการใหญ่ๆ ที่เคยได้รับความนิยมหลายรายการ ต้องได้รับผลกระทบ ต้องดิ้นรนอย่างหนัก ย้ายช่อง
อย่างล่าสุด รายการ The Voice Thailand ก็เป็นรายการที่ต้องเจอผลกระทบเช่นกัน จนแบกรับภาระไม่ไหว ต้องย้ายช่องออกอากาศจากช่อง 3 ไปอยู่ช่องพีพีทีวี
The Voice Thailand หนึ่งในรายการประกวดร้องเพลงที่ดังที่สุดรายการหนึ่งของไทย ปักหลักออกอากาศที่ช่อง 3 มาตั้งแต่ปี 2555 จนมาถึงปี 2560 มีทั้งหมด 6 ซีซัน แถมยังมีรายการ The Voice Kids Thailand อีก 5 ซีซัน อยู่ในรูปแบบเช่าเวลาจากช่อง 3 และต้องหารายได้จากโฆษณา มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อรายได้จากค่าโฆษณาที่เคยไปได้ดี ไม่เพียงพอต่อต้นทุนการผลิตอีกต่อไป ทำให้ต้องหาทางออกในรูปแบบรับจ้างผลิตแทน
ด้วยรูปแบบรายการลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ The Voice Thailand เป็นรายการที่ทุ่มทุนกับค่าโปรดักชั่นสูงมากในการออกอากาศแต่ละเทป โดยเฉพาะรอบที่ออกอากาศสด ที่มีรายงานว่าบางตอนสูงกว่า 5 ล้านบาท ด้วยต้นทุนที่สูงในการผลิตทำให้ยากต่อการหาโฆษณาในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ที่จะทำให้คุ้มค่าต้นทุนที่ลงไป แม้ว่าทางช่อง 3 ได้ช่วยโดยการลดค่าเช่าเวลาให้กับบรรดาผู้ผลิตรายการหลายรายการรวมถึงผู้ผลิต The Voice ไปบ้างแล้วก็ตาม
เมื่อดูผลการดำเนินงานของบริษัทเอพีแอนด์เจ โปรดักชั่น ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตรายการ The Voice Thailand ที่แจ้งผลประกอบการไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ก็พบว่า ในปี 2560 มีสภาพขาดทุนจากการดำเนินการครั้งแรก แม้ว่าจะมีรายได้ 230 ล้านบาท และขาดทุนไม่มาก เพียงแค่ 2.81 ล้านบาท เท่านั้น โดยทั้งรายได้และผลกำไรลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยพีคสุดในปี 2558 มีรายได้สูงถึง 468 ล้านบาท และกำไร 3.4 ล้านบาท
เท่ากับเป็นการเริ่มส่งสัญญาณแล้วว่า หากยังเจอสภาพวิกฤตจากการลดลงของงบโฆษณา แม้ว่าเรตติ้งและความนิยมของรายการยังดีอยู่ก็ตาม ก็คงอยู่ได้ยากลำบากมากขึ้น
สำหรับเรตติ้งเฉลี่ยของรายการ ตั้งแต่ช่วงมีทีวีดิจิทัลปี 2558 เรตติ้งแต่ละซีซันมีดรอปลงมา เพราะการแข่งขันเริ่มสูงขึ้นจากช่องอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูง และมีเรตติ้งสูงสุดของช่วงที่ออกอากาศ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ
เรตติ้งซีซัน 6 ที่เป็นซีซันล่าสุด ออกอากาศในปลายปี 2560 ต่อเนื่องมาต้นปี 2561 เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.283
รายงานข่าวพีพีทีวีเปิดเผยว่า สำหรับรายการ The Voice ที่จะมาออกอากาศในช่องพีพีทีวีนั้น จะมาทั้งแพ็กเกจ 3 รายการ คือ The Voice , The Vocie Kids และ The Voice สูงวัย ซึ่งเป็นรายการใหม่เอี่ยม ที่เจาะกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
โดยรายการแรกที่จะมาออกอากาศคือ The Voice ซีซัน 7 ที่คาดว่าจะลงผังในประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ ในช่วงวันจันทร์ เวลาหลังข่าว 2 ทุ่ม ที่ชนกับเวลาละครของช่องใหญ่ๆ และชนกับรายการวาไรตี้หลักของช่องเวิร์คพอยท์เช่นกัน ซึ่งขณะนี้ช่องเวิร์คพอยท์กำลังออกอากาศรายการ Thailand’s got talent” แต่กว่า The Voice จะลงจอ Thailand’s got talent คงจบซีซันพอดี
สาเหตุที่มาลงผังในช่วงวันจันทร์ แทนที่วันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเย็นค่ำ ที่เป็นเวลาของครอบครัวนั้น เป็นเพราะผังรายการส่วนใหญ่ของพีพีทีวี มักเป็นรายการถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไว้แล้ว
ทั้งนี้รูปแบบใหม่ที่เข้าไปอยู่กับพีพีทีวี เป็นลักษณะที่พีพีทีวีจ้างผลิตรายการ ดังนั้นผู้ผลิตเดิมรับภาระต้นทุนการผลิตเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานของช่องขนาดเล็ก ที่ต้องรับภาระต้นทุนเพื่อดึงรายการสำคัญมาลงช่อง เพื่อสร้างเรตติ้งและความนิยมของช่องให้เพิ่มสูงขึ้น และช่องเป็นผู้รับหน้าที่หาโฆษณา
ในขณะที่ช่องใหญ่ จะเป็นรูปแบบของการให้เช่าเวลาทั้งหมด โดยที่ผู้ผลิตต้องรับหน้าที่หาโฆษณาด้วยตามสัดส่วนที่ตกลงกับช่อง
สำหรับช่องพีพีทีวี ภายใต้การนำของผู้บริหารชุดใหม่ สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ที่ข้ามฝากมาจากช่อง 3 และ พลากร สมสุวรรณ จากช่อง 7 ได้ประกาศเมื่อต้นปีนี้ เป็นเจ้าบุญทุ่ม พร้อมทุ่มทุนเพื่อยกระดับช่องพีพีทีวีให้เป็น World Class TV ด้วยการซื้อคอนเทนต์ต่างประเทศมากมาย เพื่อเสริมทัพรายการถ่ายทอดสดกีฬาใหญ่ๆ โดยเฉพาะฟุตบอลลีกดังๆของยุโรป โดยหวังที่จะดันช่องให้เขาสู้อันดับท็อปเท็นเรตติ้งให้ได้
จากการจัดอันดับเรตติ้งประจำเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พีพีทีวี อยู่ในอันดับ 15 เรตติ้งเฉลี่ยช่อง 0.178 เนื่องจากเป็นช่วงปิดฤดกาลถ่ายทอดฟุตบอลลีกต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับจะมีขึ้นลงตามรายการที่ออกอากาศในช่วงนั้นด้วย
พีพีทีวี มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ มหาเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของไทย ที่นอกเหนือจากช่องพีพีทีวีแล้ว ยังถือหุ้นใหญ่ในช่องวัน ร่วมกับกลุ่มแกรมมี่ด้วย
สำหรับผลประกอบการบริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง (ช่องพีพีทีวี) ในปี 2560 ยังมียอดขาดทุนสูงถึง 2,028.76 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 317.16 ล้านบาท รายจ่ายสูงถึง 2,231.88 ล้านบาท ซึ่งรายจ่ายส่วนใหญ่คือการซื้อและผลิตคอนเทนต์.