Scale Up กับการทำธุรกิจไทย ในสไตล์ “วิเชฐ ตันติวานิช”


“เคยมีใครสงสัยหรือไม่ว่า คนไทยมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) กันมากแค่ไหน” คำถามเปิดเรื่องที่แฝงแง่มุมในการทำธุรกิจจากประสบการณ์ที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนานของ คุณวิเชฐ ตันติวานิช ผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดทุนไทยกว่า 30 ปี ประธานและหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลักสูตร 2MorrorScaler เอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเฉลยถึงคำตอบของคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า “ถ้ามองตามหลักวิชาการจะพบว่าคนไทยมีระดับความเข้มข้นของความเป็นผู้ประกอบการค่อนข้างต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ระบุไว้ว่าคนไทยมีความอยากทำนั่นทำนี่สูง และยังหลงไหลในการอยากเริ่มธุรกิจสูง (Passionate) แต่ก็มีเพียงน้อยรายมากที่คิดแล้วลงมือทำจริงๆ ซึ่งข้อมูลนี้ตรงตามตำราของมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศที่ถูกจัดอันดับเป็นที่หนึ่งของโลกด้านการสอนและบ่มเพาะผู้ประกอบการ ที่สามารถใช้อ้างอิงได้ว่า “การเป็นผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่มีความคิดหรือความหลงไหลที่จะทำอะไร แต่อยู่ที่การเริ่มทำมันขึ้นมาหรือไม่” นั่นหมายถึง “คุณคิดอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องลงมือทำด้วย” เพราะการลงมือทำจะทำให้เกิดการเรียนรู้จากของจริง มีประสบการณ์จริง ซึ่งอาจจะต้องเจ็บจริง ร้องไห้จริง แต่ถ้าไปได้ดีก็ยิ้มร่าหรือหัวเราะได้จริงๆ เช่นกัน ดังนั้นหากถามว่าทำไมจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการจึงสำคัญสำหรับทุกประเทศทั่วโลก นั่นก็เพราะประเทศใดมีจิตวิญญาณที่ว่ามาก ประเทศนั้นก็เจริญ”

เมื่อถามถึงประเทศไทย ไม่ใช่ว่าเราไม่มีจิตวิญญาณนั้นเสียเลย แต่ที่เรามีอยู่มันเป็นจิตวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งพอ มันออกจะล่องลอยไปมาทั้งตามกระแส ตามความเชื่อ ตามขนบธรรมเนียมประเพณีและตามวัฒนธรรมของการกลัวความเสี่ยงเสียมากกว่า ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยถูกสอนให้ขยัน ประหยัด อดทน และอดออม เราจึงทำมาหากินกันแบบไม่ต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อหาได้มาก็หวงแหนเก็บออมหรือฝากธนาคารไว้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยนำไปลงทุน เพราะกลัวคำว่าเสี่ยง

ในปัจจุบัน “ความเสี่ยง” จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันเป็นอย่างมาก ในมุมมองของผมนั้นคิดว่าคนที่เข้าถึงความเสี่ยงหรือรู้จักความเสี่ยง จะต้องรู้ว่ามันเป็นไปได้ขนาดไหน มันดุร้ายหรือไม่ แล้วหาวิธีบริหารจัดการกับมันอย่างเหมาะสม คนแบบนี้คือคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เพราะคนส่วนใหญ่พอเห็นว่ามีความเสี่ยงก็จะหลีกหนีให้พันมันไป ไม่กล้าสู้ ไม่กล้าเผชิญกับสิ่งที่ไม่แน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการที่มีความหลงใหลในการทำธุรกิจ ต้องกล้าลงมือทำ กล้าเข้าใกล้ความเสี่ยง และต้องกล้าที่จะรับผลที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสามารถบริหารจัดการกับมันได้ ผลที่ตามมาคือผู้ประกอบการคนนั้นจะอยู่รอดและแข่งขันกับผู้อื่นได้

ซึ่งใจความสำคัญไม่ใช่เรื่องที่จะอยู่รอดและแข่งขันได้หรือไม่ แต่ต้องถามตัวเองด้วยว่า “เติบโตได้หรือไม่” ปัจจุบันผมมองว่าความคิดที่ว่า “อยู่หรือตาย (Live or Die)” กำลังจะหมดไป และกำลังจะมีความคิดใหม่มาแทนที่ในวงการธุรกิจคือ “เติบโตหรือตาย (Grow or Die)” ความหมายคือ คุณจะอยู่รอดอย่างเดียวไม่พออีกต่อไป เพราะจะมีคนที่อยู่แบบเติบโตได้มาแย่งพื้นที่หากิน และจะทำให้เราตายได้ง่ายๆ เราจึงต้องเติบโต และโตในอัตราที่สูงกว่าคนอื่นด้วย ไม่เช่นนั้นก็คือตายเช่นกันในแวดวงธุรกิจ

คุณวิเชฐ ตันติวานิช

หากมองต่อไปที่ประเด็น “โตอย่างไรถึงจะอยู่รอด” การ Scale Up ของธุรกิจที่จะสามารถอยู่ได้จากวันนี้เป็นต้นไป ผมแนะนำให้ลองศึกษาวิธีคิดเหล่านี้เพื่อการพัฒนาองค์กรของคุณ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานพอสมควรในการจะเก็บสะสมพลังให้ครบตามสูตรของการเติบโต (Scale)

1. อัตราการเติบโตวัดเทียบกับคนอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เทียบกับตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา

2. จัดตัวเองให้อยู่ใน 5 อันดับแรกของวงการที่เราอยู่ เพราะถ้าคิดถอยหลังก็จะมีคนมาซื้อต่อ แต่ถ้าจะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีคนมาขายให้

3. ลงทุนที่ “คน” โดยให้คิดว่าคนคือ “การลงทุน” ส่วนเงินเดือนหรือผลประโยชน์ให้คิดว่าเป็นค่าใช้จ่ายหักรายงวด ให้เน้นการลงทุนที่คนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าคนไม่เก่ง ธุรกิจก็ไม่ไปไหน

4. ต้องเน้นบริหารงานเป็นขั้นตอน อาจเริ่มที่การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน (Objectives/Target/Aim) แล้ววางกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ แล้วค่อยวางแผนเดินเกมรบทางธุรกิจ (Strategies and Game Plan) พร้อมกับเลือกใช้คนที่ใช่ในการทำตามแผนงานเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

5. เจ้าของหรือผู้บริหารต้องมีความมุ่งมั่นในการที่จะทำให้ได้ (Determination) ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก เพราะส่วนใหญ่หลายคนตกม้าตายตรงที่มีความอยากที่จะทำ ถอยไปเมื่อเจออุปสรรค หรือมัวเย็นใจเมื่อทำได้แล้ว

นอกจากนั้นคำว่า “ใช้เวลา” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารต้องตัดสินใจเลือกว่าจะ “ใช้แบบเสียเวลาหรือใช้แบบได้เวลา” ซึ่งผมเล็งเห็นความสำคัญของการ “ใช้เวลา” อย่างมาก เพราะผมรู้ว่าถ้าใครใช้เวลาเป็น เขาจะไปได้ไกลกว่าและเร็วกว่าคนที่ใช้เวลาไม่เป็นอย่างแน่นอน

ผมมองว่า “2Morrow Scaler เป็นหลักสูตรที่ผมกับรุ่นน้อง ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงช่วยกันออกแบบขึ้นมา ทั้งทีมก่อตั้งหลักสูตรและคนที่เข้ามาอบรม ล้วนแต่เลือกที่จะใช้เวลาแบบ “ได้เวลากัน” ด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่มีเวลาจะเสียอีกแล้ว การมารับฟังการถ่ายทอดประสบการณ์ วิธีคิด วิธีบริหารจัดการเพื่อเล็งผลลัพธ์ จากนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทยที่ผ่านสงครามทางธุรกิจมาแล้วอย่างโชกโชน จึงเป็นการ “ใช้เวลาแบบได้เวลา” ที่คนเหล่านั้นไปสะสมมาให้เบ็ดเสร็จ แต่เราก็ต้องเอามาคัดกรองแล้วเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่ใช่กับเราเท่านั้น และผมเชื่อว่าในประเทศไทยน่าจะไม่มีหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการที่ไหนที่เจาะข้อมูลได้ลึกและเป็นวงกว้างได้เท่านี้อีกแล้ว

เมื่อมองถึงการเติบโตจากการใช้เวลาด้วยกัน หรือใช้เวลาของกันและกันระหว่างคนที่มาเรียนด้วยกันเองนั้น ก็ยิ่งช่วยเร่งให้เกิดการ Scale Up ทางธุรกิจของแต่ละคน ส่งผลให้ตัวผมกับทีมก่อตั้งหลักสูตรเชื่อมั่นในหลักสูตรนี้เป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้เราเห็นความเติบโต เห็นอนาคต และเห็นจิตวิญญาณของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ที่จะเป็นแรงขับสำคัญ ในการผลักดันประเทศของเราให้เติบโตต่อไปในอนาคต” คุณวิเชฐ กล่าวปิดท้าย

สนใจหลักสูตร 2Morrow Scaler สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.2morrowscaler.com