Thanatkit
“เทรนด์รักสุขภาพ” ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ไม่เพียงเป็นผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกกำลังกาย อุปกรณ์กีฬา หรืออาหารการกินเท่านั้น แต่ยังลามมาถึง “ที่อยู่อาศัย” ที่ออกแบบมาเพื่อสุขภาพอีกด้วย
ข้อมูลจากรายงานการศึกษาเรื่อง “ที่อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี” (Build Well to Live Well 2018) ที่สถาบันสุขภาพโลก (Global Wellness Institute) จัดทำขึ้นใน 2018 พบว่า นับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา การพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนส เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทั่วโลก มีมูลค่าตลาดประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท หรือ 134,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโต 6.4% ต่อปี
ตัวเลขที่ว่านี้สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของโลก ที่เติบโตราว 1.5% และสามารถทำกำไรเฉลี่ยประมาณ 10-25% โดยปัจจุบันมีโครงการและชุมชนที่เน้นการสร้างไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพดีประมาณ 740 แห่งทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าตามหลัก OECD จะมีค่าประมาณ 4.8 – 6.3 แสนล้านบาท อีกทั้งยังมีการวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมของคนมีผลประมาณ 20% ต่อสุขภาพของเรา
ส่วนที่เหลืออีก 80% นั้น เป็นผลจากการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก เช่น บ้าน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ พฤติกรรม วิถีชีวิต และอารมณ์
ตัวเลขที่เกิดขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของ “แสนสิริ” หนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ที่เห็นว่า ที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนส กำลังจะเป็นที่สนใจของคนไทย แต่ยังไม่มีให้เห็นในเมืองไทยเสียที จึงเริ่มลงมือศึกษาเมื่อหนึ่งปีก่อน จนในที่สุดก็ตัดสินใจรุกเซ็กเมนต์นี้อย่างจริงจัง
โครงการแรกของการบุกเซ็กเมนต์นี้ เกิดขึ้นภายใต้โครงการร่วมทุนที่แสนสิริควงแขน “โตคิว กรุ๊ป จากประเทศญี่ปุ่น และ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น” จัดตั้งบริษัท สิริ ทีเค โฟร์ (Siri TK Four Company Limited) มีสัดส่วนการลงทุน 70:29:1 ตามลำดับ พร้อมกับดึง “โรงพยาบาลสมิติเวช” เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ด้านบริการด้านสุขภาพ
โดยจะทำเป็นคอนโดมิเนียม 4 อาคาร รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยในลักษณะคอนโดมิเนียม Low Rise ความสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ส่วนกลางและที่จอดรถ 1 อาคาร มีพื้นที่ทั้งหมด 7 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ส่วนชื่อยังไม่ได้อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะตั้งเป็นซับแบรนด์ใหม่ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าระดับ B ที่มีเงินเดือนประมาณ 50,000 – 80,000 บาท โดย 80% จะเป็นลูกค้าชาวไทย และอีก 20% เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ เช่น จีน ฮ่องกง ได้หวัน และสิงคโปร์
ขณะนี้ตัวโครงการกำลังอยู่ในระหว่างการขอ EIA คาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้าง และเปิดพรีเซลได้ต้นปีหน้า พร้อมกับเปิดเผยตัวหน้าตาโครงการ และราคาขาย ซึ่งการทำเวลล์เนส เรสซิเดนซ์มาพร้อมกับต้นทุกที่สูงขึ้น จากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องเพิ่มเข้าไป แต่แสนสิริเห็นว่า กำไรที่มากกว่าโครงการทั่วไป จะสร้างความคุ้มค่าให้กับแสนสิริได้อย่างแน่นอน
ปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ด้วยความที่แสนสิริไม่เคยทำเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ นอกจากการบ้านที่ต้องทำอย่างหนักแล้ว ความยากยังอยู่ที่ต้องสื่อสารไปหาลูกค้า เพื่อชี้ให้พวกเขาเห็นว่า โครงการนี้จะตอบโจทย์ด้านสุขภาพจริงๆ แต่ก็เชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะเราได้เห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว”
ปิติ ได้ยกตัวโครงการเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศมา 2 โครงการ ได้แก่ 21W20 FLATIRON เมืองนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีที่มีเพียง 13 ยูนิต แต่สามารถขายได้ตารางเมตรละ 760,000 บาท สูงกว่าโครงการโดยรอบถึง 15%
อีกโครงการอยู่ที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน มี 10 อาคาร 1,415 ยูนิต โดยลูกค้า 40% ซื้อเพราะเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์เรื่องสุขภาพได้ ทำให้ช่วง 5 เดือนราคาขายสามารถปรับขึ้นไปถึง 21% สูงกว่าโครงการโดยรอบที่ปรับเพิ่มได้เพียง 5% ซึ่งแสนสิริเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดกับแสนสิริได้ไม่อยาก
อย่างไรก็ตาม โครงการที่ถนนกรุงเทพกรีฑาเป็นเพียงการทดลองตลาดเท่านั้น แสนสิริยังได้วางแผนขยายเซ็กเมนต์เวลล์เนส เรสซิเดนซ์ อีกอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ เพื่อให้เกิดการต่อเนื่อง และไม่เงียบไปจากสายตาผู้บริโภค ส่วนจะร่วมทุนกับโตคิวต่อไปหรือไม่ ต้องดูเป็นรายโครงการไป
ทำเลที่เหมาะสำหรับเซ็กเมนต์นี้ต้องมีพื้นที่ราว 5-7 ไร่ ไม่ควรจะอยู่ใกล้พื้นที่ CBD มากเกินไป แต่ควรจะอยู่ในบริเวณที่อากาศยังค่อนข้างดี อยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือไม่ก็ได้ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีศัพยภาพการเติบโตที่อยู่อาศัย และสามารถเดินทางได้ง่าย ซึ่งเป็นได้ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ตอนนี้แสนสิริมีที่ดินสำหรับเซ็กเมนต์นี้อยู่บ้างแล้ว
แสนสิริวางเป้าหมายภายใน 1-2 ปีนี้ เวลล์เนส เรสซิเดนซ์จะคิดเป็นสัดส่วน 5-8% ของโครงการที่เปิดตัวใหม่ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่ยังสนใจหัวเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย
โตคิว คอร์ปอเรชั่น กับ ธุรกิจในเมืองไทยหลายคนคุ้นเคยกับชื่อของโตคิว ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาปักหลักลงทุนธุรกิจค้าปลีกในไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว โครงการแรก ร่วมมือกับกลุ่มเอ็มบีเค เปิดห้างสรรพสินค้าขึ้นมาในศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ จากนั้นขยายเปิดสาขาที่สอง ที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค ต่อมา โตคิว แตกขยายธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จับมือกับแสนสิริ ทำโครงการที่อยู่อาศัย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจก่อสร้างทางหลวง : จับมือกับ ช.การช่าง ตั้งบริษัท ช.การช่าง-โตคิว จำกัด ธุรกิจบริหารอพาร์ตเมนต์ : จับมือกับ สหกรุ๊ป ตั้งบริษัทร่วมทุน สห โตคิว คอร์ปอเรชัน โดยเข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ ในชื่อ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว |