“ซีพีเอ็น” แตกไลน์ธุรกิจ บุกโคเวิร์คกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ เปิด ‘Common Ground’ ต่อจิ๊กซอว์มิกซ์ยูส ดึงทราฟฟิกและกำลังซื้อเข้าห้าง

Thanatkit

เชื่อว่าโคเวิร์คกิ้งสเปซได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำนักงานยุคใหม่ ที่ได้รับความสนใจจากธุรกิจสตาร์ทอัพและผู้ทำงานอิสระ รวมไปถึงบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ ที่หันมาใช้มากขึ้นด้วย

ที่ผ่านมาจึงมีโคเวิร์คกิ้งสเปซเปิดใหม่อยู่เนืองๆ ทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ เช่น Glowfish, Draft Board, Meticulous Offices,Cluster Offices, Regus, Antares Office และ CEO Suite เป็นต้น

Common Ground

2 เหตุผลหลักที่ทำให้โคเวิร์คกิ้งสเปซในเมืองไทยเติบโต คือ

1. เมกะเทรนด์ที่ไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้คนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปตาม Technology และ Flexibility โดยต้องการพื้นที่ทำงานที่มีความเป็น Collaborative Workspace รวมถึงการลดต้นทุนทางธุรกิจทำให้รูปแบบการทำงานของผู้ประกอบการ และบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยคาดว่าตลาด coworking space ในเอเชีย จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 30% ในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีตลาดอยู่ที่ 2%

2. อัตราการเติบโตของตัวเลขเอสเอ็มอีในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง 8-10% ต่อปี มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยกว่า 1 ใน 6 มีธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ หรือคิดเป็นกว่า 500,000 ราย โดยเอสเอ็มอีเหล่านี้ ล้วนแต่มองหาสถานที่ทำงานในทำเลที่ดี หรือ prime location แต่การเข้าถึงออฟฟิศให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ เป็นไปได้ยากและมีราคาสูง เช่นเดียวกับบริษัทใหญ่ๆ ที่ต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

Common Ground

แต่ที่ผ่านมาโคเวิร์คกิ้งสเปซมักจะไปเปิดตามอาคารสำนักงานเกรดเอ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งตอนนี้กำลังขาดแคลน ทำให้ซีพีเอ็นหรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เห็นช่องว่างจากที่ตัวเองมีศูนย์การค้าอยู่ในมือ จึงสนใจที่จะทำโคเวิร์คกิ้งสเปซบ้าง

แต่ด้วยความที่ซีพีเอ็นไม่ได้มีโนว์ฮาวด้านนี้มาก่อน จึงได้ตัดสินใจจับมือกับคอมมอน กราวด์โคเวิร์คกิ้งสเปซสัญชาติมาเลเซีย ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2017 มีสมาชิกกว่า 1,400 คนใน 6 สาขาซึ่งอยู่ในกัวลาลัมเปอร์ และเมืองใกล้เคียง

Common Ground

มีรายได้เดือนละ 2 ล้านเหรียญ และมีแผนที่จะเปิดให้ครบ 15 สาขาทั่วมาเลเซียภายในปี 2018 และล่าสุดได้ขยายธุรกิจไปสู่ระดับภูมิภาคประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ภายในปี 2020 ตั้งเป้าขยายสาขาทั้งหมด 55 สาขา

ครั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ใช้ชื่อว่าคอมมอน กราวด์ ไทยแลนด์ทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ซีพีเอ็นถือหุ้น 51%, คอมมอน กราวด์ 29% และ MSB Asia (สถาบันทางการเงินในมาเลเซีย) 20% โดยใช้ชื่อแบรนด์ ‘Common Ground’ ในการบุกครั้งนี้

สาขาแรกจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยเป็นรีจินัลแฟลกชิพแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 4,500 ตร.. ใช้งบลงทุนราว 80 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดได้ต้นปีหน้า

ซีพีเอ็นเชื่อว่า การเปิดโคเวิร์คกิ้งสเปซรูปแบบใหม่นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการหรือบริษัทใหญ่ต่างๆ สามารถลดต้นทุน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างออฟฟิศแบบถาวร ตั้งอยู่ใน Prime location ทำให้ติดต่องานและหมุนเวียนเปลี่ยนโลเคชั่นได้สะดวก อีกทั้งมีความแตกต่างจากโคเวิร์คกิ้งสเปซอื่นๆ ด้วยโลเคชั่นที่ใกล้กับศูนย์การค้า

ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา (ที่ 2 จากซ้าย)

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

การมี Common Ground ป็นอีกหนึ่งต่อจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มมิกซ์ยูสให้สมบูรณ์มากขึ้น และต่อยอดวิสัยทัศน์การสร้าง Center of Life ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่สำคัญยังเป็นตัวช่วยสร้างทราฟฟิกในวันธรรมดา ซึ่งปกติแล้วทราฟฟิกคนเข้าศูนย์การค้าในเครือซีพีเอ็น เฉลี่ยในวันธรรมดา 120,000 คน วันเสาร์อาทิตย์ 150,000 คน ส่วนวันที่มีงานอีเวนต์ 170,000 คน เมื่อคนเพิ่มกำลังซื้อในห้างก็เพิ่มตามไปด้วย ในอนาคตก็คาดหวังเป็นแหล่งรายได้ใหม่และสามารถเป็นออฟฟิศให้กับเครือเซ็นทรัล

ภายใน 5 ปีต่อจากนี้วางแผนใช้เงินกว่า 800 ล้านบาท เปิดทั้งหมด 20 สาขา โดยกว่า 10 สาขาจะตั้งอยู่บน prime location ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ในอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าของซีพีเอ็น หรืออาคารสำนักงานให้เช่าอื่นๆ รวมถึงสาขาในหัวเมืองสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา เป็นต้น

Common Ground

ใช้พื้นที่เฉลี่ย 2,000 – 3,000 ตารางเมตร งบลงทุนสาขาละ 40 ล้านบาท วางแผนเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงไม่อยู่ชั้นที่สูงมาก ให้สามารถเข้าจากข้างนอกเวลาห้างปิดได้ด้วย จับกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ ได้แก่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มสตาร์ทอัพและฟรีแลนซ์ 80% และกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทำงานในโคเวิร์คกิ้งสเปซ 20%

มี 2 ราคา ได้แก่ เฉพาะบุคคล 4,000 บาทต่อเดือน และมีห้องเฉพาะเริ่มต้นที่ 10,000 บาทต่อเดือนสำหรับ 4 คน แต่ละสาขารองรับคนใช้งานสูงสุดประมาณ 700 คน ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป ตั้งเป้ารายได้ปีละ 500 ล้านบาท.