Thanatkit
ไมเนอร์ ยกเครื่อง “เดอะ พิซซ่า” ในรอบ 17 ปี ดีไซน์ให้เหมือน “สวนหลังบ้าน” ดูดคนรุ่นใหม่เข้าร้าน พร้อมบุกขยายสาขา 3 เท่าตัว
ได้เวลาที่ “ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป” ต้องลุกขึ้นมายกเครื่อง พลิกโฉมร้าน “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ในรอบ17 ปี ดำเนินธุรกิจในเมืองไทย แต่ที่ผ่านมาของการขยับตัวของแบรนด์ไม่ได้มีอะไรมากนัก เมื่อครบเวลา 3-5 ปี เปลี่ยนดีไซน์ของร้านเล็กๆ น้อยๆ หรือแต่ละปีก็มักจะเปิดร้านเฉลี่ย 20 สาขา
แต่จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่มาพร้อมความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นกระตุ้นให้ปี 2018 “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ลุกขึ้นมาขยับตัวครั้งใหญ่ นับตั้งแต่เปิดร้านครั้งแรกเมื่อปี 2001 เลยทีเดียว
ยก “ดีไซน์ร้าน” ให้เหมือนสวนหลังบ้าน
เรื่องแรก “ดีไซน์ร้าน” ที่แต่ไหนแต่ไรมาจะตกแต่งสไตล์ร้านอาหารอิตาเลียน โต๊ะเกาอี้ไม้ล้วน วอลเปเปอร์เป็นภาพอิฐและใช้ไฟสลัวหน่อย ซึ่งเหมาะกับ “กลุ่มครอบครัว” ที่เป็นฐานลูกค้าหลัก แต่ในระยะหลัง “กลุ่มนักศึกษาและวัยเพิ่งทำงาน” เดินเข้ามากินที่ร้านมากขึ้น
อย่างรู้กันคนรุ่นใหม่ชอบอะไรที่สดใสและชอบประสบการณ์กินใหม่ๆ เมื่อประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องรีโนเวตดีไซน์ร้าน “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” จึงตัดสินใจยกเครื่องครั้งใหญ่ แบบเปลี่ยนหมดจด โดยเปลี่ยนบรรยากาศให้เหมือน “สวนหลังบ้าน”
ไล่มาตั้งแต่เติมแสงสว่างให้ร้านทำบางส่วนให้มีหลังคา เติมต้นไม้จริง เปลี่ยนจานใหม่ โต๊ะเปลี่ยนจากไม้ล้วนมาเป็นขาเหล็ก ที่สำคัญลดขนาดของที่นั่งลง 10% เพื่อให้ร้านกว้างขวางขึ้น โต๊ะแต่ละมุมของร้านจะให้บรรยากาศไม่เหมือนกัน บนพื้นที่ขนาด 300 ตารางเมตร พร้อมกันนี้ได้เติมเมนูและเครื่องดื่มใหม่อีกราว 10 เมนู
สาขาสยามเซ็นเตอร์ถูกเลือกเป็นสาขาแรกที่ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์ ด้วยที่นี่มีลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ใช้งบประมาณไปเกือบ 10 ล้านบาท เกือบเท่ากับทำร้านใหม่ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ต้องปิดร้าน 20 กว่าวันสำหรับการรีโนเวต จากปกติที่จะไม่ปิดร้าน
สาขา เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เป็นที่ต่อไปสำหรับการรีโนเวต ปีหน้าวางแผนปรับทั้งหมด 25 สาขาใน 2 โลเคชั่นหลัก 1.ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล และ 2.จุดที่รองรับนักท่องเที่ยว ใช้งบเฉลี่ยสาขาละ 4-6 ล้าน คาดใช้เวลา 3-5 ปี ถึงจะปรับได้ทั้งหมด 200 สาขาที่ให้บริการเต็มรูปแบบ
ขยายสาขา 3 เท่าตัว
ต่อมาการขยายสาขาปี 2018 เปิดเพิ่มไปถึง 3 เท่าตัว หรือประมาณ 70 สาขา เยอะสุดในรอบ 17 ปี แบ่งเป็นร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ 20 สาขา และร้านที่เน้นบริการส่ง 50 สาขา
กิตติชาญ คงแป้น ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจร้านอาหาร (GM of Restaurant), THE PIZZA COMPANY ให้เหตุผลที่ขยายเยอะกว่าที่ผ่านมา เป็นเพราะปีนี้เป็นครั้งแรกที่ “ร้านที่เน้นบริการส่ง” เปิดให้ซื้อแฟรนไชส์ได้ คิดเป็นจำนวนถึง 40% เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของผู้บริโภคจึงต้องการอาหารที่ทานได้เร็ว
“พิซซ่า” เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ตอบโจทย์ได้ ซึ่งร้านที่เน้นบริการส่งสามารถเติมเต็ม ความต้องการของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้ขยายไปยังต่างจังหวัด โดยเน้นลงทุนไปในระดับอำเภอให้มากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ส่วนระดับตำบลยังเร็วเกินไปที่จะทำตอนนี้
กิตติชาญ บอกว่า ถึงตลาดพิซซ่ามูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเดอะ พิซซ่า คอมปะนีเป็นเบอร์ 1 ในตอนนี้ จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น แต่เนื่องจากอยู่ในธุรกิจอาหารที่คนต้องกินทุกวัน จึงสามารถเติบโตได้อยู่เรื่อยๆ ความท้าทายจึงแทบไม่มีอยู่เลย
“จะรักษาลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ อยู่ที่นวัตกรรมล้วนๆ เช่นการเพิ่มเมนูใหม่ ที่ต้องทำให้ถูกจริตกับคนไทยมากขึ้น หรือการสื่อสาร ไม่สามารถใช้ช่องทางเดิมๆ ได้อีกต่อไป ต้องเจาะลงไปถึงระดับเซ็กเมมนต์”
อีก 5 ปีต้องการครบ 800 สาขา
“เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” วางแผนรักษาเป้าการขยายสาขาปีละ 50-60 สาขา ไปอีก 5 ปี หรือจนถึงปี 2023 โดยในกรุงเทพฯ จะเปิดประมาณ 30% ที่เหลือ 70% จะไปยังต่างจังหวัด ขยายทั้งร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ลงทุน 9-10 ล้านบาทต่อสาขา และร้านที่เน้นบริการส่ง ลงทุน 7-9 ล้านบาทต่อสาขา ในสัดส่วน 50:50
เมื่อถึงปี 2023 “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” ต้องการเติบโตแบบดับเบิลทั้งสาขาและยอดขาย โดยสาขาจะเพิ่มเป็น 800 สาขา จากวันนี้มีจำนวนสาขาทั่วประเทศทั้งสิ้น 400 สาขา โดยแบ่งเป็นร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ 200 สาขา และร้านที่เน้นบริการส่ง 200 สาขา
ส่วนยอดขายจาก 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเตะหลัก 15,000 ล้านบาท ที่สำคัญต้องการให้ลูกค้าเพิ่มความถี่จากเดือนละ 1 ครั้งเป็น 2-3 ครั้ง ส่วนการใช้จ่ายต่อบิลคงไม่เพิ่มมากเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เพิ่มราคาของอาหาร.