ผ่าดีล “โอสถสภา” เทเงิน 400 ล้าน ถือหุ้นบริษัทเครื่องดื่มในอังกฤษ

เรื่อง : Thanatkit

เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปหมาดๆ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับ “โอสถสภา” บริษัทเก่าแก่อายุ 127 ปีของเมืองไทย ซึ่งคาดว่าจะได้เงินระดมทุนมาไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท โดยเงินที่ได้มาเป้าหมายหลักของ “โอสถสภา” ต้องการนำไปขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ

ล่าสุดมีความคืบหน้าการลุยต่างประเทศเกิดขึ้นแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (25 ธันวาคม 2561) โอสถสภา” ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ได้ให้บริษัทย่อยซึ่งถือหุ้นทางอ้อม 100% เข้าลงทุนในบริษัท “Basecamp Brews Limited” ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มในสหราชอาณาจักร คิดเป็นเม็ดเงิน 10,400,000 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราว 430 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์สเตอร์ลิง เท่ากับ 41.40 บาท

ก่อนหน้านั้นในวันที่ 24 ธันวาคม 2561 โอสถสภา ได้เซ็นสัญญากับ “Basecamp Brews Limited” ในการเข้าถือหุ้น 20% และได้สิทธิ์ตั้งคณะกรรมการ 1 คน จากกรรมการทั้งหมด 3 คนไปแล้ว โดยดีลนี้ถือเป็นดีลแรกของ โอสถสภา ในการเข้าลงทุนซื้อหุ้นบริษัทในต่างประเทศ นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 

โอสถสภา เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ภายใต้ตราสินค้า เช่น เอ็ม-150 ลิโพ เป็นต้น เครื่องดื่มเกลือแร่และกาแฟพร้อมดื่ม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลภายใต้ตราสินค้าเบบี้มายด์ และทเวลฟ์พลัส รวมทั้งธุรกิจให้บริการผลิตสินค้า บรรจุภัณฑ์ และจัดจำหน่ายสินค้า 

แน่นอนว่าการบุกเข้าไปซื้อหุ้นของ “โอสถสภา” มีเป้าหมายเพื่อบุกตลาดอังกฤษเป็นแน่แท้ หลังจากพบว่าก่อนหน้านี้ “คาราบาว” คู่ปรับในสงครามเครื่องดื่มชูกำลังมียอดขายไปได้ดี ชาวอังกฤษตอบรับจากเกมการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสปอนเซอร์หลักในเกมแข่งขันฟุตบอลที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “คาราบาวคัพ โดยปี 2561 คาราบาวตั้งเป้ารายได้กว่า 1,000 ล้านบาท 

ดังนั้นการมีบริษัทในอังกฤษจะทำให้ โอสถสภา มีความได้เปรียบในเรื่องการผลิตสินค้า และการทำราคาที่อาจจะปั้นได้ถูกกว่า เพราะคู่แข่งยังใช้วิธีผลิตที่ไทยแล้วค่อยส่งไปขาย หลังจากนี้คงต้องตามต่อว่า “โอสถสภา” วางเกมในอังกฤษไว้อย่างไรบ้าง 

สำหรับเหตุผลที่ เครื่องดื่มชูกำลังสัญญาติไทย ต่างสนใจบุกดินแดนผู้ดี มาจากข้อมูลที่ว่า ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในอังกฤษถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ด้วยมูลค่ากว่า 2,348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นผู้ใหญ่ ที่นิยมดื่มเป็นซอฟต์ดริงก์ 70% เป็นมิกเซอร์ 30%.