“ช่องวัน” กดปุ่ม ดัน “ข่าว” เติมผังรายการ ปี 62 ดึง 3 ผู้ประกาศเนชั่นเสริมทัพ

แต่ไหนแต่ไรมา “ละคร” ถือเป็นแม่เหล็กที่ “ช่องวัน” ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะเป็นคอนเทนต์หลักที่สร้างเรตติ้งให้ช่อง ถึงขนาดในช่วงที่ช่องขาดทุนสะสมหลักพันล้านจนต้องผ่าตัดครั้งใหญ่ “ช่องวัน

หากการเข้ามาเข้ามาถือหุ้น 50% มูลค่า 1,900 ล้านบาท เมื่อปลายปี 2017 ของ บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด ซึ่งเป็นของลูกสาวนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองทำให้ช่องวันมีเงินทุน เข้ามาต่อชีวิตและทำอะไรได้มากขึ้น

หลังจากประสบความสำเร็จจาก “ละคร” ที่เป็นหัวใจหลักแล้ว ช่องวันจะหันมาให้น้ำหนักกับ รายการข่าวที่เคยถูกมองเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น

ปี 2018 ถือเป็นปีแรกที่ข่าว พลิกกลับมามีกำไร และรายได้เติบโตกว่า 100% ได้เปลี่ยนมุมมองของช่องวัน จากที่แค่มีข่าวเพื่อให้ครบตามสัดส่วนที่ กสทช. กำหนด มาสู่ดาวดวงใหม่ที่จะหารายได้ให้กับช่อง

 เดียว วรตั้งตระกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายข่าวช่องวัน 31 เล่าว่า ที่ผ่านมาของรายการข่าวช่วงปี 2014 – 2016 ยังอยู่ในช่วงทดลองไม่ได้มีหลักตายตัว จนปี 2017 ได้เริ่มวางกลยุทธ์ โดยเน้น Current News ข่าวที่เป็นกระแสทั่วไป เพื่อให้ช่องไม่ตกข่าว ต่อมาปี 2018 Hemun Interest เลือกเฉพาะข่าวที่เป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก

เมื่อแนวทางเริ่มชัดเจนส่งผลให้รายการข่าวมีอัตราการเติบโตของฐานผู้ชมมากขึ้นกว่า 40% โดยวัดจากเรตติ้งการรับชมโดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015 – ปี 2018 โดยปีที่ผ่านมามีเรตติ้งในภาพรวม 0.43 ติดอันดับที่ 6 มีจำนวนฐานผู้ชม 51ล้านคน คิดเป็น 78% ของประชากรไทย อัตราคนดูเฉลี่ย 2.1 ล้านคนต่อนาที

ฐานผู้ชมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเมือง (Bangkok & Urban) 77% โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชมเพศหญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปจำนวน 60% (เฉลี่ยสูงสุด 1.2 ล้านคนต่อนาทีซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มผู้ชมที่มี Spending Power ทางการตลาดสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายได้เติบโตกว่า 100%

ข่าวถือเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของช่องทีวี ในการสู้ศึกทีวีดิจิทัลที่ดุเดือด หลายช่องจึงปรับกลยุทย์และให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น ช่องวันก็เช่นเดียวกัน

ปี 2019 ต้องติด Top 5

ช่องวันวางเกมข่าวปี 2019 ตั้งเป้าสู่ National Television และติด Top 5 ของสถานีข่าว ผ่านกลยุทธ์ Exclusive News นำเสนอข่าวที่เจาะลึกมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่หยิบข่าวจากโซเชียลมีเดียมานำเสนอ มีการลงพื้นที่ทำข่าว โดยคง DNA ของช่องไว้ คือทำให้เข้าใจง่าย เติมความเป็นไลฟ์สไตล์ เล่าผ่านสตอรี่ โดยวางแผนดึงศิลปินของช่องเข้าร่วม เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดความรอยัลตี้ในที่สุด

โดยเตรียมเพิ่มรายการใหม่เอาให้ชัด เป็นทอล์กข่าว เข้ามาอยู่แทนที่รายการวาไรตี้ วางคอนเซ็ปต์รายการ กล้าถามทุกความจริง เริ่มออกอากาศ 4 ..นี้ หลังจบละครทุกวันจันทร์พฤหัสบดี เวลา 22.30 .

นอกจากนั้นยังมีรายการบันเทิงที่ผลิตร่วมกับไนน์เอ็นเตอร์เทน ของ อสมท แบ่งรายได้ในรูปแบบไทม์แชริ่ง การมีรายการใหม่จะทำให้เวลาของข่าวเพิ่มขึ้นอีก 10% จากเดิมที่ออกกาศ เช้า เที่ยง เย็น ข่าวคั่นระหว่างวัน รวมๆ กันประมาณ 8 ชั่วโมง

ช่องวันมีภาพลักษณ์เป็นช่องบันเทิง แต่ในปีนี้กลับชูข่าวขึ้นมาด้วย เพราะเมื่อไปดูเรตติ้งรายการข่าวจริงๆ จะพบ 10 อันดับแรกไม่ได้เป็นช่องที่ประมูลมาเพื่อข่าวเลย แต่เป็นช่องวาไรตี้ทั้งนั้น โอกาสอยู่ที่ถ้าทำให้ข่าวเข้าถึงคนได้ ก็จะสามารถตรึงให้ผู้ชมอยู่กับช่องตลอดทั้งวัน

ผู้ประกาศข่าวก็เหมือนดารา ถ้าไม่น่าสนใจคนก็ไม่ดู

ข่าวอย่างเดียวอาจสร้างความน่าสนใจไม่มากพอให้กับผู้ชม ช่องวันจึงวางแผนเพิ่มผู้ประกาศข่าว จากเดิมที่เคยมีแม่เหล็กอยู่แล้วอย่างจั๊ดธีมะ กาญจนไพรินคิงส์พีระวัฒน์  อัฐนาค, เอกเอกพร ศรีสุขทวีรัตน์แคนอติรุจ กิตติพัฒนะ 

ในปีนี้ได้ฟิลปรัชญา อรเอกน้อยบัญชา แข็งขัน ซึ่งนั่งควบอีกตำแหน่งบรรณาธิการข่าวเฉพาะกิจ และ เผยวีณารัตน์ เลาหภคกุล ที่จะเข้ามาเติมเต็มด้านข่าวต่างประเทศ ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ย้ายมาจากช่องเนชั่นทีวี

ทำไมถึงต้องเติมผู้ประกาศข่าวทั้งๆ ที่ช่องวันก็มีผู้ประกาศที่หลากหลายและตัวท็อปอยู่แล้วโดยเดียวเปรียบผู้ประกาศข่าวเป็นดารา และข่าวคือบทละครที่ต้องเล่น ถึงบทจะดีแค่ไหนถ้าดาราเล่นไม่ดีคนก็ไม่อยากดู เช่นเดียวกันข่าวที่นอกจากความน่าเชื่อถือ ต้องสร้างแรงดึงดูดให้คนอยากดูต่อด้วย

เดียวให้มุมมองในเรื่องที่จั๊ดธีมะซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกาศข่าว ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้ชมทั่วไป แต่เรตติ้งของช่องยังอยู่ที่เบอร์ 6 เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะภาพรวมจะขึ้นมาทั้งแผงต้องใช้เวลา แต่ตอนนี้มีไฮไลต์อันหนึ่งที่เริ่มขึ้นมา จะทำให้ภาพรวมกลมขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ เติบโต

แต่ทั้งนี้จะมีการไปผูกกับผู้ประกาศที่กลายเป็นซุปตาร์อย่างเดียว เพราะหากซุปตาร์ไม่อยู่ช่องอาจลำบาก แต่จะพัฒนาควบคู่ทำให้ข่าวเป็นคอนเทนต์ที่แข็งแรง ถึงซุปตาร์ไม่อยู่ก็ยังเติบโตได้ด้วยคอนเทนต์ข่าว

อยากอยู่รอดต้องขึ้น Top 5

ช่องวันมองการแข่งขันด้านข่าวตอนนี้รุนแรงไม่ต้องจากรายการอื่นๆ เพราะทุกคนต้องการเม็ดเงิน การอยู่รอดคือต้องอยู่ Top 10 หรือ Top 5 ให้ได้ ช่องวันจึงอยากเข้ามาอยู่ใน Top 5 ตอนนี้ในแง่ของฐานคนดูได้แล้ว ที่เหลือที่การขยาย

ข่าว แข่งขันกันที่ความน่าเชื่อถือ มุมมองการนำเสนอ ดูง่ายๆ คนที่เป็นแฟนประจำช่องข่าว ก็จะความคาดหวังด้านข่าวที่ต้องสุดขั้ว ก็จะต่างจากคนที่ดูข่าวในช่องวันที่อาจจะไม่ได้ฮาร์ดคอร์ขนาดนั้น ที่ผ่านมาช่องวันยอมรับ ข่าวคือเรตติ้งที่เป็นตัวประกอบ ถึงจะมีข่าววันศุกร์ที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพระเอกได้ หรือข่าวค่ำก่อนละครที่บางวันเรตติ้งได้ 2 แต่ก็เป็นช่วงที่คนมารอดูละคร

และด้วยความที่ช่องวันเป็นช่องบันเทิงความคาดหวังของช่องคือดนดูแล้วไม่ยี้เช่นข่าวการจับงู ก็จะไม่ลงรายละเอียดตัวงูเพราะฐานคนดูที่เป็นผู้หญิงจะปิดทันที หรือข่าวการเมืองก็ทำพอให้เป็นสีสัน ทั้งหมดเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งเรตติ้งจะขึ้นจากอะไรก็ขึ้นอยู่กับการที่ช่องรู้พฤติกรรมของคนดูและเข้าใจ เสิร์ฟคอนเทนต์ที่คิดว่าใช่

แน่นอนการให้น้ำหนักกับข่าวก็ต้องเพิ่มต้นทุน เพิ่มจากจำนวนคนที่ไม่ใช่แค่หน้างาน แต่ยังรวมไปถึงทีมงานเบื้องหลังซึ่งตอนนี้มีทั้งหมด 110 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นจากจุดที่น้อยสุด 80 คน แต่ก็ต่างกันเกือบครึ่งจากจุดที่เคยมีทีมงานมากที่สุด 200 คน ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มถือว่ารับได้ เพราะเมื่อเทียบกับการทำละครถือว่าห่างกันอยู่มาก

ปี 2019 ช่องวัน ตั้งเป้าเรตติ้งโต 49% เป็น 0.46 เช่นเดียวกับช่องทางใน Facebook ที่อยากได้ตัวเลข 2.5 ล้าน โดยคาดหวังให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 30% ของทั้งช่อง จากวันนี้อยู่ที่ 15% โดยค่าโฆษณาเฉลี่ยหลักหมื่นปลายๆ ต่อนาที แต่ถ้าเป็นช่วงเย็นซึ่งเป็นช่วงไพรม์ไทม์จะเป็นหลักแสนบาทต่อนาที

จั๊ดธีมะผู้ประกาศข่าวตัวท็อปของช่องวัน กับปัญหาที่ถูกมองเล่นใหญ่เกินจริง

จั๊ดธีมะ กาญจนไพรินถือเป็นผู้ประกาศข่าวที่ท็อปสุดของช่องวัน 31 ในขณะนี้ ด้วยสไตล์เล่าข่าวที่จัดจ้าน สนุกสนาน บวกกับการแต่งตัวให้เข้ากับเหตุการณ์นั้นๆ จึงได้รับความนิยมและเป็นกระแส

แต่เพราะความเล่าข่าวที่เล่นใหญ่ สไตล์จั๊ด กลับถูกผู้ชมบางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมว่าข่าวควรจะเล่าไปตามความจริง ไม่ใช่ใส่สีตีไข่เข้าไป ซึ่งเจ้าตัวได้ชี้แจงว่า

การเล่าข่าวสไตล์จั๊ดคือการเล่าเรื่องยากให้ง่าย เล่าเรื่องง่ายให้มีมุมคิด คนชั่วคนทุจริตต้องโจมตี คนดีต้องสรรเสริญ นี่ถือ 4 ประโยคที่ยึดถือ ส่วนวิธีการให้การเล่าข่าวที่ใช้คำว่ากบฎทุกการเล่าข่าวที่ไม่ได้หมายถึงเรืองที่เลวร้าย

ผมคิดว่าวิธีการในการนำเสนอไม่จำเป็นต้องเป็นวิธีการนำเสนอข่าวที่เราเห็นๆ ผ่านหูผ่านตากันตลอดชั่วชีวิตของเรา เพราะผมรู้สึกว่าข้างในคือข่าวแต่เราเอามาห่อใหม่ ปีนี้ความท้าทายอยู่ที่ข่าวการเมืองที่จะเข้มข้นขึ้น

จุดอ่อนของคนไทยคือการไม่ชอบเสพข่าวยาก หลักการของผมจึงต้องเอาข่าวยากไปให้คน วิธีการคือทำขึ้นมาใหม่ที่ทุกคนเห็นกันไป ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็เหมือนช็อกโกแลตเอ็มแอนด์เอ็มที่มีสีสันที่หลากหลาย โดยข่าวก็เหมือนช็อกโกแลต วิธีการที่ผมนำเสนอก็เหมือนกัน สีสันที่เคลือบอยู่ดูน่ากินและกินง่าย แต่เมื่อกินเข้าไปข้างในก็คือช็อกโกแลตหรือข่าวนั้นเอง