โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน กรุงเทพฯ หนึ่งในโรงแรมที่กำลังเสนอขายในขณะนี้
ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ
นิฮาท เออร์แคน กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมภาคพื้นเอเชีย เจแอลแอล กล่าวว่า “แต่การที่มีโรงแรมเสนอขายน้อยลงและช่องว่างราคาที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อคาดหวัง ทำให้มูลค่าการลงทุนในปีที่ผ่านมาไม่สูงเท่ากับปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่มีมูลค่าสูงสุด
โดยข้อมูลจากหน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล ระบุว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยปี 2561 มีมูลค่าลดลงจากปี 2560 ราว 22%
โดยมีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้น 7 รายการที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย เทียบกับปี 2560 ที่มีการซื้อขายเกิดขึ้น 12 รายการที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน เชียงราย นครราชสีมา พัทยา และเกาะลันตาที่กระบี่
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นเมืองที่มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนคิดเป็น 73% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประเทศไทย
ในส่วนของผู้ซื้อ พบว่า นักลงทุนไทยเป็นผู้ซื้อหลัก โดยในปีที่ผ่านมา การซื้อของนักลงทุนไทยมีสัดส่วนคิดเป็นมากกว่า 80% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด นอกจากนี้เกือบ 70% ยังเป็นการซื้อโดยบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจโรงแรม สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายการลงทุนของบริษัทต่างๆ เข้ามาในธุรกิจโรงแรมมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อโรงแรมในไทยในปีแล้ว มาจากสองชาติคือ สิงคโปร์และสหราชอาณาจักร
ไมค์ แบทเชเลอร์ ซีอีโอ หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมคึกคักมากที่สุดในเอเชีย โดยในปี 2561 มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดอยู่ในอันดับห้าของภูมิภาค รองจากสี่อันดับแรกคือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และฮ่องกง”
สำหรับปี 2562 คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยจะยังมีสภาพคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงสนใจสูง ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มที่ดี แม้การขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลง แต่ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปีที่ผ่าน ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 38.3 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 40.3 ล้านคน.