ยังคงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกปีที่ 13 และเป็นปีที่สร้างความคึกคักให้กับวงการฟุตบอลไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งยอดเข้าชมการถ่ายทอดสด รวมถึงแฟนคลับ เป็นอีกอีเวนต์ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด
หลักฐานความคึกคัก คือ Big Match ระหว่างทีมจ่าฝูง คือ เมืองทองหนอกจอกยูไนเต็ด พบกับอันดับสอง บางกอกกล๊าส ทำรายได้จากค่าตั๋วนัดเดียว 7 แสนบาท ขายของที่ระลึกได้วันเดียว 6 แสนบาท รวมแล้ว 1.3 ล้านบาท
สาเหตุน่าจะมาจากความชื่นชอบกีฬาฟุตบอลของคนไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเรียนรู้ และนำเอาการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งการจัดการทีม การบริหารแฟนคลับ การถ่ายทอดแบบสากลมาใช้ ก็สร้างกระแสความดังได้ไม่ยาก
มีการดึงนักเตะต่างชาติ จากแถบแอฟริกามาเช่นอาชีพกันมากมาย หรือดึงดูดนักเตะไทย ที่เคยไปขุดทองกลับมาเล่นได้สำเร็จ เช่น ลีซอ ธีรเทพ วิโนทัย ก็กลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดคนดู แถมล่าสุด เนวิน ชิดชอบ กระโดดเข้าซื้อสโมสร “เพื่อนตำรวจ” พร้อมกับเตรียมสร้างสนามฟุตบอลใหม่ที่บุรีรัมย์ มูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อสร้างสโมสรใหม่ที่บุรีรัมย์ เพื่อเตรียมมาโลดแล่นในไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลหน้าปี 2553 ด้วยแล้ว อีเวนต์นี้ นักการตลาดก็ยิ่งไม่ควรพลาด
ล้อมกรอบ
– ครึ่งฤดูการแรกผ่านไป 120 นัด เฉลี่ยแล้วมีคนดูนัดละ 1,936 คน
– ทุกสนาม ทุกนัด เก็บค่าบัตรที่ละ 50 บาท
– เฉลี่ยค่าบัตรรวมต่อนัด 1 แสนบาท
เอฟชลบุรี ทำสถิติสูงสุด
– คนดูเฉลี่ยนัดละ 4,222 คนมากที่สุดในบรรดา 16 ทีม
– ทำรายได้จากค่าตั๋วเข้าชม 2.1 แสนบาทต่อนัด
– ทำรายได้จากของที่ระลึกเฉลี่ย 2.4 แสนบาทต่อนัด
– ทำรายได้ครึ่งปี 2552 ได้ 6.2 ล้านบาท (ค่าผ่านประตู 2.8 ล้านบาท ค่าของที่ระลึก 3.4 ล้านบาท)