“ตอนต้นปีสถานการณ์ทางการเมืองจะยังคงวุ่นวาย จนรัฐบาลชุดนี้อาจต้องปรับคณะรัฐมนตรี อย่างเร็วต้นเดือนกุมภาพันธ์ อย่างช้าไม่เกิน 28 เมษา 2553 นี้แน่นอน ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้” คำทำนายถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงต้นปีจาก ดร.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา โหรชื่อดัง ซึ่งเริ่มต้นคำทำนายดวงเมืองในปี 2553
ส่วนเศรษฐกิจช่วงนี้จะยังไม่กระเตื้องขึ้น ในขณะที่ปัญหาทางสังคมจะเกิดเพิ่มขึ้น สถิติอาชญากรรม ปัญหายาเสพติดจะมีต่อเนื่องนับจากวันนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2553
นับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2553 เป็นต้นไป ดาวพฤหัสบดีเดินถอยหลัง แสดงว่าปัญหาต่างๆ จะแก้ไขไม่สำเร็จหรืออาจเกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ซึ่งจะมีปัญหาทั้งการเมือง เศรษฐกิจมาให้แก้กันแบบไม่หวาดไม่ไหว แต่หากรัฐบาลสามารถประคองตัวเองไปได้จนถึงวันที่ 26เมษายน 2553 ปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายลง ดวงเมืองไทยจะดีขึ้น
“ต้องจับตาในช่วงเดือนธันวาคม 2552 ไปจนถึง 26 เมษายน 2553 เพราะการโคจรของดวงดาวสำคัญๆ มีผลให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ทำให้การทำงานของรัฐบาล ตลอดจนภาพลักษณ์เป็นไปในทางลบ จะเกิดความไม่ลงรอยในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เกิดปัญหาคลื่นใต้น้ำ เกิดความไม่วางใจ ถ้าเบาะๆ ก็แค่ปรับคณะรัฐมนตรี หรือหากรุนแรงจนเอาไม่อยู่ก็ถึงขั้นยุบสภา
นอกจากปัญหาการเมืองแล้ว ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 เราจะพบกับปัญหาโรคระบาดอันเนื่องมาจากน้ำ และการขนส่งทางน้ำ จะทำให้ทั่วโลกปวดหัวเพราะโรคระบาดตัวใหม่นี้จะมีความรุนแรงยากแก่การจะรับมือได้ ดังนั้นจึงควรระวังโรคระบาดตัวใหม่อย่างจริงจัง
ระวังบุคคลสำคัญถูกลอบสังหาร
สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในช่วงก่อนถึงวันที่ 26 เมษายน 2553 คือภัยเงียบ จะมีการเตรียมการกระทำการรุนแรง เช่น การก่อวินาศกรรม การลอบสังหารบุคคลสำคัญ สถาบันหลักจะถูกใส่ร้ายป้ายสีเกิดความเสียหาย เพราะดาวเสาร์ยกเข้าราศีมีนมันเป็นลางบอกเหตุว่าทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยเฉพาะทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงปีหน้ามีดาวดาวสำคัญๆ 4 ดวงคือ ดาวพุธ ดาวราหู ดาวมฤตยู และดาวพฤหัสฯ จะโคจรมาพบกัน และดาวเสาร์เล็ง และดาวมฤตยูซึ่งโคจรมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 จะก่อให้เกิดความสูญเสียได้ในหลายๆ เรื่อง เช่น อาจจะมีบุคคลสำคัญถูกลอบสังหาร หรือมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และหลังจาก 26 เมษายน 2553 ไปอีก 7 ปี ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน
สำหรับการค้าการลงทุน ธุรกิจที่จะรุ่งเรืองจะเกี่ยวเนื่องจากการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงธุรกิจการเกษตร โดยจะเริ่มขยับตัวได้คล่องขึ้นหลังวันที่ 26 เมษายน 2553 นี้เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากดวงเมืองซึ่งถูกผูกขึ้นมา 229 ปีแล้ว พบว่า ดวงโดยรวมแม้จะได้รับผลกระทบจากการกระทำของพลเมืองไทย และคนภายนอกมาโดยตลอด แต่ดวงเมืองของไทยยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า “แย่สุดๆ”เพราะจะมี “อัศวินขี่ม้าขาว” มาช่วย ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 นี้เป็นต้นไป
มกราคม : ดวงเมืองยังอยู่ในช่วง “ลูกผีลูกคน” สาเหตุเพราะอิทธิพลของดาวหลายดวงที่โคจรวิปริต จะทำให้ด้านการเมืองต้องใช้ความเด็ดขาดจริงจังในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหากทำได้จะเป็นการปูทางเพื่ออนาคต แต่โดยรวมแล้วยังคงต้องระมัดระวังจะเกิดเหตุการณ์แบบไม่คาดฝัน ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงทรงตัวต่อเนื่องมาจากเดือนธันวาคม 2552 การลงทุนในตลาดเงิน ตลาดทุน ควรระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุดน่าจะเก็บเงินสดไว้ก่อน ส่วนปัญหาสังคม
ในเดือนมกราคมนี้ผู้หญิงจะเข้ามามีบทบาทร่วมแก้ไขปัญหาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งในปีนี้โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าผู้หญิงจะเข้ามามีอิทธิพลสูงกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากดาวจันทร์จะส่องแสงจรัสที่สุดในปีนี้ทั้งปี
กุมภาพันธ์ : เดือนนี้ด้านการเมืองจะมีปัญหายุ่งยาก พรรคการเมืองต่างๆ จะมีความขัดแย้งทางความคิดสูงแต่ไม่ถึงกับแตกหักเพียง แต่จะเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศโดยรวม ส่งผลต่อเศรษฐกิจจะเกิดการขาดสภาพคล่องในสังคมโดยเฉพาะตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นจะร่วง ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเงินจะเกิดการหยุดชะงัก การสื่อสารระหว่างประเทศจะเกิดปัญหาสื่อไม่เข้าใจกัน จนนำมาซึ่งความเสียหายกับส่วนรวม
มีนาคม : เดือนนี้ต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะจะมีการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญให้รัดกุมขึ้น จะมีการใช้มาตรการที่เด็ดขาดจริงจัง ทำให้การแก้กฎหมายต่างๆ ประสบผลสำเร็จ ด้านการค้า การลงทุนยังซบเซา ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงทรงตัว
เมษายน : การเมืองยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง เกิดความขัดแย้งในกลุ่มนักการเมืองทั้งสองฝ่าย และจะมีผลกระทบจากปัญหามิตรประเทศ เพราะเดือนนี้จะมี “ผู้หลักผู้ใหญ่” ที่เป็น “คนต่างด้าวท้าวต่างแดน” เดินทางมาเจรจาในประเทศ แต่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดจากการพูดจา การสื่อสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างเป็นวงกว้าง จะเกิดข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งเรื่องนี้เราต้องระวังให้ดี
พฤษภาคม : จะมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” หรือถึงขั้น “การยุบสภา” เกิดขึ้น แต่ความขัดแย้งต่างๆ ที่สะสมมาตั้งแต่เดือนที่แล้วสามารถ “รอมชอม” กันได้ จากนั้นดวงเมืองจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจโดยรวม ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุนที่เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นชัด
มิถุนายน : การเมืองเริ่มดีขึ้นรัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่เศรษฐกิจเริ่มจะ “ผงกหัว” ให้เห็นอย่างชัดเจน การค้า การลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนจะสดใสมาก ทุนต่างชาติเริ่มทยอยมาลงทุนเพิ่มขึ้น
กรกฏาคม : การเมืองเริ่มนิ่ง ความขัดแย้งลดลง รัฐบาลสามารถจัดการกับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เศรษฐกิจเริ่มคล่องตัว การเงิน การลงทุนเริ่มสดใส แต่ในขณะเดียวกันในช่วงปลายเดือนอาจจะเกิดปัญหาการประท้วง การนัดหยุดงาน ประปราย
สิงหาคม : การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น การปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ การปรับออก การปลดออก อันเนื่องมาจากปัญหาการคอรัปชั่น ส่วนเศรษฐกิจยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น การลงทุนสดใสการเก็งกำไรในตลาดหุ้นดีมาก
กันยายน : การเมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ความขัดแย้งต่างๆ ลดลงรัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและจะประสบผลสำเร็จผลงานจะออกมาเป็นที่ถูกใจของประชาชนโดยรวม การค้า การลงทุนเป็นปกติ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดเงิน ตลาดทุนจะเป็นกลไกหนึ่งที่เสริมสร้างเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้เป็นอย่างดี
ตุลาคม : การเมืองเดือนนี้จะเกิดปัญหาข่าวลือ ข่าวลวง ระส่ำระสาย รัฐบาลต้องแบกรับภาระหนักทั้งปัญหาความขัดแย้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เศรษฐกิจยังดีพอต่อการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐที่ครอบคลุมไปยังโครงการต่างๆ ทั่วถึง ประชาชนไม่ประสบความเดือดร้อนมากนัก แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ผล
พฤศจิกายน : การเมืองราบรื่น นิ่งแต่ในขณะเดียวกันจะเกิดการ “แฉ” ข้อมูลทางลับโดยเฉพาะการทุจริต คอรัปชั่นขึ้นเนืองๆ จะมีปัญหาเกี่ยวข้องกับกฎหมาย วงการศาสนา อันเนื่องจากดาวพฤหัสจรอยู่ร่วมกับดาวราหูเดิมในภพวินาศ ในขณะที่เศรษฐกิจยังสดใสต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรจะรุ่งโรจน์มาก จะทำให้ต่างชาติหันมา“ห้อมล้อม” ประเทศไทยอย่างชัดเจน
ธันวาคม : การเมืองนิ่งสงบ รัฐบาลสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างราบรื่น เกิดการเจรจาทางการเมืองที่นำมาซึ่งความสมานฉันท์ ในขณะที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปจะแจ่มใสขึ้นในเดือนนี้น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าดวงของประเทศไทยเริ่มจะสดใสมาอีกครั้งหนึ่ง
“การที่เราพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต เป็นเสมือนการเตือนภัยล่วงหน้า แม้คำเตือนที่ได้ฟัง จะดูเป็นเรื่องร้าย แต่ถ้าเราได้ลองทบทวนทำความเข้าใจ เราก็สามารถระมัดระวังมิให้เหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นได้ หรือทำให้เรื่องร้าย ผ่อนหนักเป็นเบาได้ วิธีการแก้ปัญหาหรือหาทางออก มิใช่แค่เพียงการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แต่เราต้องระวังตัวพยายามมิให้เรื่องร้ายมันเกิดขึ้น” ดร.อรรถวิโรจน์ กล่าว