JLL คาดมูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมเอเชียแปซิฟิกปี 62 จะขยายตัว 15%

รายงาน Hotel Investment Outlook จากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล ประมาณการณ์ว่า ในปี 2562 นี้ การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกอาจมีมูลค่าเป็น 9.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ราว 15% โดยเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มว่าจะเป็นภูมิภาคเดียวในโลกที่มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมเพิ่มขึ้นในปีนี้

ในปี 2561 ที่ผ่านมา การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 8.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 มากกว่า 83% ผู้ซื้อรายใหญ่ประกอบด้วยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริษัทนอกตลาด ซึ่งซื้อรวมมากกว่ากึ่งหนึ่งของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีที่แล้ว

เจแอลแอลคาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกจะมีสภาพคึกคักมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากมีนักลงทุนที่เคยลงทุนซื้อโรงแรมไว้ สนใจนำโรงแรมของตนออกมาเสนอขายเพื่อทำกำไรในจังหวะที่ภาคการท่องเที่ยวเติบโต โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ส่วนผู้ซื้อหลักในปีนี้ คาดว่าจะเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในตราสารทุน (private equity fund) ของเอเชียที่มีการระดมเงินทุนในปีที่แล้ว

รายงานของเจแอลแอลระบุว่า ในปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นตลาดการซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชีย ตามมาด้วยสิงคโปร์

นายนิฮาท เออร์แคน กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมภาคพื้นเอเชีย เจแอลแอล กล่าวว่า “แม้จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายครั้ง ตลาดโรงแรมของญี่ปุ่นยังคงได้รับความสนใจสูงจากนักลงทุนทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายโรงแรมในญี่ปุ่น มีสัดส่วนคิดเป็น 30% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเอเชียแปซิฟิก ขึ้นมาอยู่ในอันดับหนึ่งแทนที่จีน”

เจแอลแอลคาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในญี่ปุ่นในปีนี้ จะยังคงมีแนวโน้มคึกคัก จากอานิสงค์ของการเป็นเจ้าภาพจัดงานรักบี้เวิร์ลคัพและการแข่งขันโอลิมปิกปี 2020  ทั้งนี้ ในปี่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมีการขยายตัว 8.7%

สิงคโปร์ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7% ทำให้รายได้ของโรงแรมทุกระดับปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่วนจีน ภาคการท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูง ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักของโรงแรมต่างๆ ในหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีนปรับตัวสูงขึ้น อาทิ เฉิงตูปรับขึ้น 20% ฉงชิ่ง 15% และอู่ฮั่น 12%

“แม้ตลาดโรงแรมของเอเชียโดยรวมจะเริ่มเข้าใกล้ภาวะอิ่มตัว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า จะไม่เกิดภาวะตลาดตกต่ำอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงต้นปีนี้ ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากซบเซาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น  ทำให้นักลงทุนมีความกังวลน้อยลง และหันมามุ่งเน้นการหาโอกาสการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดที่ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง” นายเออร์แคนกล่าว

เจแอลแอลมองว่า นักลงทุนที่สนใจเอเชียแปซิฟิก ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถสร้างรายได้สูงขึ้นมากนักจากโรงแรมที่จะเข้าซื้อ อย่างไรก็ดี การที่เมืองหลักๆ ในภูมิภาคนี้เป็นตลาดโรงแรมที่ค่อนข้างซื้อง่ายขายคล่อง ประกอบกับนักลงทุนไม่คาดหวังผลตอบแทนการลงทุนที่สูงมากนัก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดการซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคนี้ยังคงคึกคัก

ทางด้านภาพรวมสำหรับทั่วโลกในปีนี้ เจแอลแอลคาดว่า ภาคธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเข้าใช้บริการห้องพักสูงและมีผลประกอบการที่ดี จากอานิสงค์ของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตสูงมากสุดปีหนึ่ง ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงขึ้น จึงมีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นที่แสวงหาผลตอบแทนการลงทุน กำลังหันมาสนใจการลงทุนซื้อโรงแรม

นายมาร์ค วายน์-สมิธ ประเจ้าเจ้าหน้าบริหาร หน่วยบริการการลงทุนด้านโรงแรมทั่วโลกของเจแอลแอล กล่าวว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมทั่วโลกในปี 2561 คึกคักมากกว่าที่คาดไว้ และเชื่อว่าปีนี้จะคึกคักมากเช่นกัน เนื่องจากตลาดโรงแรมโลกโดยรวมยังมีปัจจัยพื้นฐาน ประกอบกับการที่นักลงทุนมีสภาพคล่องทางการเงินสูงและมีการแข่งขันกันสูงในหาโอกาสซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน”

“แม้จะมีความระมัดระวังมากขึ้น กิจกรรมการลงทุนที่ดำเนินอยู่ต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นการลงทุนในพอร์ตสินทรัพย์ขนาดใหญ่และการลงทุนในบริษัท รวมถึงการที่นักลงทุนมีเงินทุนสูง เป็นปัจจัยที่ทำให้การลงทุนซื้อขายโรงแรมโลกจะยังคงคึกคัก” นายวายน์-สมิธกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง – การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยปี 61 มีมูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท

เกี่ยวกับ JLL

เจแอลแอลเป็นบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก มีสำนักงานสาขา 300 แห่งทั่วโลก หน่วยธุรกิจการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล เป็นตัวแทนในการซื้อขายโรงแรมชั้นนำอันดับหนึ่งของโลก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเป็นตัวแทนซื้อขายโรงแรมคิดเป็นมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นมากกว่า 63,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีทีมงานราว 350 คนในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ได้รับสัญญาว่าจ้างในส่วนของการประเมินราคาและการบริหารทรัพย์สินกว่า 5,420 รายการ

สำหรับในประเทศไทย เจแอลแอลเริ่มดำเนินธุรกิจมานับตั้งแต่ปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ด้วยพนักงานมากกว่า 1,600 คน และมีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมอันดับหนึ่งของประเทศไทยติดต่อกันแปดปีซ้อน ในการสำรวจความคิดเห็นของคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ประจำปี 2561โดยนิตยสารยูโรมันนี (Euromoney Real Estate Survey 2018)