ตลอด13 ปีของบอลลีกสูงสุดของประเทศไทย ตั้งแต่เริ่มแข่งขันในระบบพบกันหมดเป็นปีแรกเมื่อ พ.ศ. 2539 ไม่เคยมีปีไหนที่จะทำยอดผู้ชม สร้างรายได้ให้กับแต่ละสโมสรและสร้างกระแสความนิยมได้เท่าปีล่าสุดคือ 2552 ที่มีเม็ดเงินทั้งจากค่าตั๋วเข้าชม ค่าของที่ระลึก ค่าสปอนเซอร์ และอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 350 ล้านบาท
จากยอดรายได้นี้ ถูกใช้จ่ายไปเป็นเงินเดือนนักฟุตบอล เป็นค่าสร้างหรือเช่าสนาม และเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าเวลาถ่ายทอดสด รวมแล้วกว่า 200 ล้านบาท ทำให้เม็ดเงินที่สะพัดทุกด้านในไทยพรีเมียร์ลีกปีที่ผ่านไปนี้อยู่ที่เกือบ 600 ล้านบาท
ที่สำคัญ เฉพาะครึ่งฤดูกาลหลัง (สิงหาคม – ตุลาคม) ปี 2552 เองก็ทำสถิติจำนวนผู้ชมพุ่งทะลุไปถึงกว่า 3 เท่าของฤดูกาลแรก ฉะนั้นยอดรายได้ของปีหน้าจึงถูกคาดหมายว่าจะสูงขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าขึ้นไป นั่นหมายถึงว่าไทยพรีเมียร์ลีกจะเป็น “Big Event พันล้าน” ในปี 2553อย่างแน่นอน
สถิติรายได้รวมทั้งฤดูกาล 2552 (มีนาคม – ตุลาคม)
จำนวนทีม 16 สโมสร แข่งแบบพบกันหมด คู่ละ 2 ครั้ง เหย้า-เยือน รวม 240 นัด
ผู้ชมในสนามรวมทั้งฤดูกาลทุกทีมประมาณ 1 ล้านคน
ผู้ชมในสนามเฉลี่ยต่อนัด 4,100 คน
รายได้ค่าตั๋วรวมทุกนัดราว 50 ล้านบาท (บัตรใบละ 50 บาททุกที่นั่ง ทุกสนาม)
รายได้ค่าตั๋วเฉลี่ยต่อนัด 205,000 บาท
รายได้จากการขายของที่ระลึกของทุกสโมสรรวม 24 ล้านบาท
รายได้จากการขายของที่ระลึกเฉลี่ยต่อนัดราว 1 แสนบาท
รายได้จาก Sponsor รวมกันทั้งปีราว 160 ล้านบาท
รายได้สปอนเซอร์เฉลี่ยต่อทีม 10 ล้านบาท
เงินอุดหนุนจากรัฐทีมละ 6 แสนบาท
รวมทุกทีมเป็น 9.6 ล้านบาท
รางวัลของแชมป์ รองแชมป์ และอันดับรองๆ ลงมารวมแล้ว 20 ล้านบาท
งบลงทุนและเงินอุดหนุนอื่นๆ (เช่น เงินส่วนตัวของประธานสโมสร และนายทุนผู้สนับสนุนทีม) ราว 90 ล้านบาท
ที่มา: ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก
เม็ดเงินสะพัดต่อ
จากรายรับรวมประมาณ 350 ล้านบาทของปี 2552 นี้ ได้ถูกนำไปใช้จ่ายกับค่าแรงนักฟุตบอล ค่าสร้างหรือเช่าสนาม และค่าถ่ายทอดสด เกิดเม็ดเงินสะพัดต่อถึงกว่า 300 ล้านบาท แบ่งได้เป็น
เงินลงทุนสร้างและเช่าสนามของทุกทีมรวมทั้งปีราว 200 ล้านบาท
เงินเดือนนักฟุตบอลเฉลี่ยคนละ30,000 บาทจำนวนนักฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีกรวมประมาณ 320 คน (ทีมละ 20 คน) รวมเงินเดือนนักฟุตบอลทั้งปีราว 115 ล้านบาท
ค่าบุคลากรตั้งแต่โค้ช ซึ่งเงินเดือนขั้นต่ำหลักแสนบาท ไปจนถึงทีมผู้ช่วย นักกายภาพ เวชศาสตร์การกีฬา อีกไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
ค่าเช่าเวลาถ่ายทอดสดผ่านช่อง 11 และสยามกีฬาทีวี รวมทั้งปี 10 ล้านบาท
(ประมาณการโดยนิตยสาร POSITIONING)
โตกว่า 3 เท่าในปีเดียว
จากข้อมูลอย่างเป็นทางการของ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ครึ่งฤดูกาลแรก มีนาคม – มิถุนายน 2552
ยอดคนดูเฉลี่ยต่อนัด 1,936 คน
แต่เมื่อถึงเดือนกันยายน-ตุลาคมซึ่งเป็นที่สุดแห่งความบูม ไทยพรีเมียร์ลีกสามารถทำยอดคนดูเฉลี่ยต่อนัดถึง 4,904 คน โตขึ้นกว่า 3 เท่า และหากดูเฉพาะทีมใหญ่ๆ ปรากฏการณ์นี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เมืองทองยูไนเต็ด : ครึ่งฤดูกาลแรก 2,891 คน / กันยายน-ตุลาคม ราว 14,500 คน – โต 5 เท่า
ชลบุรี เอฟซี : ครึ่งฤดูกาลแรก 4,200 คน / กันยายน-ตุลาคม ราว 12,000 คน – โต 3 เท่า
ราชนาวีระยอง : ครึ่งฤดูกาลแรก 3,534 คน / กันยายน-ตุลาคม ราว 11,800 คน – โตเกือบ 3 เท่า
บางกอกกลาส ครึ่งฤดูกาลแรก 1,823 คน / กันยายน-ตุลาคม ราว 5,000 คน (เต็มความจุสนาม) – โตเกือบ 3 เท่า