“แลคตาซอย” จัดทริปสะสมบุญสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถิ่นพม่า ในกิจกรรม “แลคตาซอย แชริตี้ 2019 : มิง-กะ-ลา-บา”


เป็นกิจกรรมประจำปีไปแล้วสำหรับ แลคตาซอย แชริตี้ ที่พาผู้มีจิตศรัทธาไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างมงคลให้กับชีวิตต้อนรับปีใหม่แล้ว แลคตาซอยยังได้นำรายได้จากการจัดกิจกรรมมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสที่วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่ด้วย

สำหรับปีนี้ แลคตาซอยได้นำผู้ร่วมทริปบินลัดฟ้าไปทำบุญไหว้พระเสริมมงคลให้กับชีวิตที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ในชื่อกิจกรรมที่ชื่อว่า “แลคตาซอย แชริตี้ 2019 มิง-กา-ลา-บา” โดยมี คุณสามารถ จิรพัฒนกุล ผู้บริหารแลคตาซอย นำคณะผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 130 คน ออกเดินทางไปสะสมบุญเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ในทริปที่ถือว่าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะบางพิธีต้องขออนญาตเป็นพิเศษกับทางรัฐเท่านั้น

คณะของแลคตาซอยได้นัดหมายกันแต่เช้าตรู่ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่สนามบินสุวรรรภูมิ เพื่อออกเดินทางสู่เมืองย่างกุ้ง พร้อมลุยในวันแรกกับ 4 สถานที่สำคัญ โดยหลังจากลงเครื่องบินแล้วก็ไม่รอช้า มุ่งหน้ากันไปที่ “วัดพระเขี้ยวแก้ว” เพื่อกราบสักการะพระเขี้ยวแก้วที่มีประวัติว่านำมาจากศรีลังกาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งนับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับเมียนมามาช้านาน ในส่วนของวัดนั้นก่อสร้างแบบตามสถาปัตยกรรมแบบพุกาม งดงาม อ่อนช้อย โดยมีจุดเด่นที่ตัววัดที่สร้างเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่สวยงาม

ออกจากวัดพระเขี้ยวแก้ว เป้าหมายต่อไปคือ “เจดีย์กาบาเอ” ณ สถานที่แห่งนี้ ทุกคนได้เข้าพิธีรับพระธาตุ ซึ่งนับว่าเป็นความพิเศษ เพราะใครจะเข้าร่วมพิธีนี้จะต้องรับอนุญาตจากทางรัฐก่อน เจดีย์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า พระธาตุของพระโมคลานะและพระสารีบุตร บริเวณเจดีย์ยังมีต้นโพธิ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาปลูกไว้เมื่อปี 2503 ทุกคนยังไม่พลาดไปชมถ้ำมหาปาสาณคูหาที่อยู่ใกล้ๆ กับเจดีย์กาบาเอ ซึ่งสร้างขึ้นโดยจำลองสัตตบรรณคูหาในอินเดีย เพื่อทำการปฐมสังคยนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ใช้สอบบาลีขั้นสูงของพระสงฆ์

แล้วเดินทางต่อไปยัง “เจดีย์โบตะทาวน์” เพื่อสักการะพระเกศธาตุที่บรรจุในมณฑปครอบแก้วใสประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ พร้อมทั้งสักการะพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนที่นี่คือ การไหว้ เทพทันใจ ซึ่งที่มาของชื่อมาจากความศักดิ์สิทธิ์ที่บอกต่อกันว่าเมื่อมาขอพรที่นี่แล้วกลับไปไม่กี่วันจะสมปรารถนา ไหว้เทพทันใจแล้วก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อไปไหว้ เทพกระซิบ ส่วนที่มาของชื่อเทพกระซิบว่ากันว่าเกิดจากไกด์เห็นป้ายภาษาพม่าเขียนว่าห้ามพูดเสียงดัง แต่ไกด์เข้าใจผิดจึงบอกลูกทัวร์ว่าถ้าจะขอพรกับเทพองค์นี้ห้ามพูดเสียงดัง ลูกทัวร์คนไทยจึงกระซิบขอพร ชาวเมียนมาเห็นคนไทยทำแล้วสมหวังจึงทำบ้างจนกลายเป็นธรรมเนียมต่อกันมา

จบทริปในวันแรกด้วยการไปรับบุญใหญ่ที่ “มหาเจดีย์ชเวดากอง” ซึ่งทุกคนได้แต่งกายสวยงามด้วยผ้าทอมือ ผ้าซิ่น ผ้าถุง เข้ากับวัฒนธรรมเมียนมา พร้อมใจกันไปสักการะเจดีย์ชเวดากอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเจดีย์ทองคำคู่บ้านคู่เมืองของเมียนมา เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ที่นี่ทุกคนได้ทำพิธีที่จองไว้เป็นพิเศษนั่นคือการจุดตะเกียง 10,000 ดวงรอบเจดีย์ พร้อมทั้งสวดมนต์ร่วมกัน และไหว้ขอพรด้วยดอกไม้ชุดใหญ่ที่ลานอธิษฐาน ซึ่งเป็นจุดที่บุเรงนองมาขอพรก่อนออกรบ นอกจากนี้ รอบองค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานทั้ง 8 ทิศ ซึ่งทุกคนได้แยกย้ายกันไปสรงน้ำพระประจำวันเกิด พร้อมทั้งชมความงดงามของเจดีย์ที่มีทองคำโอบหุ้ม ประดับด้วยเพชรและอัญมณีมากมาย ยอดเจดีย์ประดับด้วยเพชร 76 กะรัต ที่ส่องประกายแสงงดงามในเวลาค่ำ

วันที่ 2 ของทริป ทุกคนออกจากที่พักด้วยใบหน้าที่สดใสหลังจากพักผ่อนกันมาอย่างเต็มที่ เพื่อไปสักการะ “พระนอนตาหวาน” ซึ่งเป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่มีความยาวกว่า 70 เมตร มีความงดงามทั้งพระพักตร์และขนตา ดวงตาเป็นแก้ว พระจีวรมีความพริ้วไหวสมจริง เมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทจะพบภาพวาดที่เป็นมิ่งมงคลสูงสุด ประกอบด้วยลายลักษณะธรรมจักรบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วยรูปมงคล 108 ประการ

หลังจากนั้นออกเดินทางกันต่อ โดยมีจุดหมายอยู่ที่ 3 วัดที่ชาวเมียนมานิยมมาสักการะบูชา นั่นคือ “วัดงาทัตจี” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระหินขาวที่ทำจากหินอ่อนสีขาว เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสูงเท่าตึก 5 ชั้น ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ที่ทำด้วยโลหะสีทองที่จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องของเมืองมัณฑะเลย์ ต่อด้วย “วัดบารมี” สถานที่ที่เก็บองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพระโมคาละ พระสารีบุตร และองค์พระอรหันต์ต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าพระเกศายังมีชีวิตอยู่จริง เพราะเมื่อนำมาวางบนมือจะมองเห็นด้วยตาว่าสามารถเคลื่อนไหวได้ และ “วัดพระหินอ่อน” อีกหนึ่งวัดที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระหินขาวแกะสลักจากหินอ่อนขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักถึง 60 ตัน ปิดท้ายทริปสะสมบุญครั้งนี้ด้วยการไป “ปางช้างเผือกหลวง” เพื่อชมช้างคู่บ้านคู่เมืองของเมียนมาที่มีคชลักษณะที่ถูกต้องตามตำราโบราณทุกประการ ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน

เรียกว่าอิ่มบุญอิ่มใจและมีความสุขกันไปถ้วนหน้าสำหรับผู้ร่วมกิจกรรม แลคตาซอย แชริตี้ 2019 มิง-กา-ลา-บา เพราะนอกจากจะได้มาสักกาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเมียนมาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ทุกคนยังเพลิดเพลินไปกับการชมเมือง พร้อมรับฟังเกร็ดประวัติศาสตร์ประเทศเมียนมา ได้เลือกซื้อของฝากและของที่ระลึกถูกใจที่ตลาดสก็อต อิ่มท้องกับอาหารอร่อย และยังได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ในโรงแรมหรูของเมืองย่างกุ้ง

สำหรับกิจกรรมแลคตาซอย แชริตี้ ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ไหนนั้น กดติดตามข่าวสารกันได้ทางเฟซบุ๊ก Lactasoyรับรองไม่พลาดกิจกรรมดีๆ แน่นอน