สยามนิรมิต ขอฝากตัว ทิก้าและสสปน. ขยายฐานตลาดไมซ์ ปีหน้า ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้โตจากปีก่อนเท่าตัวเป็น 20% ของรายได้รวม ชูคอนเซปต์การแสดงตระการตาในราคาคุ้มค่า พร้อมปรับพื้นที่เอาท์ดอร์ รองรับตลาดจัดอีเว้นต์ในหน้าฝน ส่วนสถานการณ์ปลายปีนี้ ลูกค้าใช้บริการ 600 คนต่อวัน ลดจากปีก่อน 30% ระบุปีหน้าตลาดยังแข่งดุ
นายสุริยา ส่งสมบูรณ์ ผู้จัดการทั่วไป “สยามนิรมิต” อัครการแสดงแห่งความเป็นไทย เปิดเผยแผนธุรกิจในปีหน้าว่า จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าไมซ์ ที่เป็นกลุ่มประชุม สัมมนา และ ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติ(ไทย) หรือ ทิก้า และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน)
จัดโปรแกรมชมการแสดงใส่รวมไว้ในการแพกเกจ เพื่อไปนำเสนอต่อลูกค้า รวมถึงการรับออกแบบธีมการจัดงานตามความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามาจัดงาน โดยเราจะมุ่งรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มไมซ์และคอร์ปอเรท เป็น 20% ของรายได้ จากปีนี้ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 10%
“ตลาดที่จะเจาะเป็นพิเศษ คือยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ผู้คนเริ่มจับจ่าย และเดินทางท่องเที่ยว ล่าสุดยอดจองจากนักท่องเที่ยวจากตลาดอเมริกาในปีหน้า ขณะนี้มีเกือบ 4 พันคนแล้ว ส่วนตลาดยุโรป ปีนี้มีสัดส่วน 30% ของลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด โดยในปี 2553 แนวโน้มการเติบโตที่ดี”
อย่างไรก็ตาม ตลาดที่เป็นลูกค้าของสยามนิรมิต มากที่สุดยังคงอยู่ในย่านเอเชีย โดยเฉพาะจากประเทศจีน มีสัดส่วนถึง 45% แต่เป็นตลาดที่ได้ราคาต่อคนค่อนข้างต่ำ ซึ่งแผนงานปีหน้า จะไม่เน้นกลยุทธ์ราคา แต่จะนำเสนอแบบคุ้มค่าเงิน เช่น เสริมในเรื่องของอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
นายสุริยา กล่าวว่า ในปีหน้า จะมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงสถานที่ส่วนที่เป็นเอาท์ดอร์ คือจะทำหลังคาเปิดปิดได้ เพื่อรองรับการจัดงานในช่วงฤดูฝน รวมถึงการปรับการแสดง ให้มีความสนุกสนานตระการตาขึ้น และ มีความเป็นไทยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปรับปรุงระบบการจองแบบออนไลน์ให้รวดเร็วขึ้น
สำหรับสถานการณ์ บริษัท ปีนี้ผลประกอบการขาดทุน ปัจจุบันมีลูกค้ามาใช้บริการสยามนิรมิต วันละ 600 คน ลดลงราว 30% จากปีก่อนจะอยู่ที่ 800 คนต่อวัน จำนวนลูกค้า ณ วันนี้ เท่ากับช่วงที่เปิดให้บริการใหม่ๆเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งช่วงนั้น ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้บางวันแทบไม่มีลูกค้ามาใช้บริการเลย ส่วนปีหน้าสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เราจึงต้องทำงานแบบระมัดระวัง และเชื่อว่ายังเป็นอีกหนึ่งปีที่กลยุทธ์สงครามราคายังคงอยู่