จะว่าไป “อาณาจักรซีพี” หรือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ไม่ได้มีเพียงธุรกิจอาหาร การเกษตร ค้าปลีก และโทรคมนาคมอย่างที่คุ้นหูเท่านั้น แต่สำหรับ “ธุรกิจรถยนต์” ที่ดูจะไกลจากธุรกิจหลักไปบ้าง ทางเจ้าสัวก็สนใจเช่นเดียวกัน
เส้นทางในธุรกิจรถยนต์ของ “เจ้าสัวธนินท์” เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2556 โดยได้รวมทุนกับ “บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (Shanghai Automotive Industry Corp. – SAIC) ถือหุ้นในสัดส่วน 49:51 ตั้งบริษัท 2 แห่งเพื่อลุยธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ได้แก่
1.บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด สำหรับผลิตและจำหน่ายรถยนต์ ภายใต้ “แบรนด์ MG” ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีต้นกำเนินมาจากอังกฤษ อายุ 70 กว่าปี ทั้งในเมืองไทยและในอาเซียน
2.บริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดูแลการขาย การตลาด บริการหลังการขาย และการจัดจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเดียว
ในช่วงแรกทั้งคู่ใช้งบลงทุนกว่า 9,000 ล้านบาทสำหรับสร้างโรงงาน และลงทุนอีก 10,000 ล้านบาทสำหรับสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ปลายตอนปลายปี 2560 โดยในครั้งที่เปิดโรงงานแห่งแรก “เจ้าสัวธนินท์” ได้เปรียบเปรยไว้ว่า หากมียอดขายของรถ MG เทียบได้กับพนักงานของ CP มีคนละคันก็พอใจแล้ว ซึ่งปัจจุบันเครือ CP มีพนักงานรวมกันกว่า 300,000 คน
ผ่านมาเกือบ 5 ปีความต้องการของ “เจ้าสัวธนินท์” อาจจะไม่ไกลแล้วก็เป็นได้ เพราะในช่วงต้นปีที่ผ่านมา MG ประกาศว่าจะมียอดขายครบ 50,000 คัน เฉพาะปี 2560 มียอดขายทั้งสิ้น 23,740 คัน เติบโตขึ้นเกือบ 100% ส่วนปี 2019 ตั้งเป้ามียอดขาย 50,000 คัน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ MG สามารถเข้ามาท้าชนได้ทั้ง Toyota – Honda – Mazda โดยเฉพาะในรถ SUV คือการจัดเต็มสเปกแต่ขายในราคาที่ต่ำกว่า ตามสไตล์แบรนด์จีน ซึ่งหากจะเห็นภาพก็เช่นรถ MG3 รุ่นท็อปสุดราคา 6.29 แสนบาท ในขณะที่ Mazda 2 ท็อปสุดราคา 7.89 แสนบาท และ Honda Jazz ราคา 7.54 แสนบาท
ราคาต่างกันกว่า 100,000 บาท จึงไม่ต้องแปลกใจที่ MG จะสร้างยอดขายเติบโตขึ้นทุกปี แต่กระนั้นก็สวนทางกับผลประกอบที่ยังขาดทุนระดับ “พันล้าน” ช่วง 3 ปีมานี้
ผลประกอบการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด
- ปี 2557 รายได้รวม 306 ล้านบาท ขาดทุน 766 ล้านบาท
- ปี 2558 รายได้รวม 3,055 ล้านบาท ขาดทุน 1,245 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้รวม 4,158 ล้านบาท ขาดทุน 2,461 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้รวม 5,622 ล้านบาท ขาดทุน 1,218 ล้านบาท
หากการขาดทุนที่ว่ายังเทียบไม่ได้กับรายได้รวมของเครือเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งมีกว่า 5,527,711 ล้านบาท กำไร 420,000 ล้านบาท (ข้อมูล : Wikipedia) จึงอาจไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าสัวต้องกังวัลมากนัก และที่สำคัญยัง “ลุย” ต่ออีกด้วย
โดยปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา CP Group ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ Foton Motor Group เพื่อจัดตั้งบริษัทด้านการผลิตและจำหน่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ รวมทั้งการบริหารงานด้านการตลาด โดยการการร่วมทุนครั้งนี้มีเป้าหมายใหญ่ถึงขนาดจะขึ้นเป็นผู้นำ “3 อันดับแรก” ของไทย
โดย Foton Motor Group จะสนับสนุนด้านการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ด้านผลิตภัณฑ์ พลังงาน เทคโนโลยีด้านการผลิตและการเชื่อมโยงระบบการสื่อสารภายในตัวรถยนต์ ส่วน CP Group รับผิดชอบด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การจัดหาแหล่งเงินทุน และการสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสำหรับรถเชิงพาณิชย์ ทั้งรถบรรทุก รถบัสโดยสาร และยานยนต์สมัยใหม่
นพดล เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) กล่าวว่า
“Foton ได้อนุญาตให้ใช้แบรนด์สินค้า เครื่องหมายการค้า รวมถึงสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจร่วมกัน โดยทั้ง 2 บริษัท จะพยายามผลักดันแผนการลงทุนในโรงงานผลิตสินค้ารุ่นต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น AUMAN, AUMARK, รถโดยสาร AUV และยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อพัฒนาตลาดในภูมิภาคอาเซียน”
สำหรับ Foton Motor Group ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน มีโรงงานผลิตรถยนต์ 27 แห่งทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิต 100,000 คันต่อปี มียอดผลิตและยอดขายสะสมปริมาณ 8,891,000 คัน ใน 110 ประเทศทั่วโลก และมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 3 แสนล้านหยวนต่อปี หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท
แน่นอนการจับมือครั้งนี้ของ CP เป้าหมายคงหนีไม่พ้นบุก “ตลาดรถเชิงพาณิชย์” อย่างเต็มสูบ ซึ่งหากดูจากข้อมูลที่ “Toyota” ประเมินไว้ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ปี 2561 มียอดขาย 641,616 คัน เติบโต 22.1% โดยถือเป็นเซ็กเมนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว
รองลงมาคือรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 511,676 คัน, รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 447,069 คัน และรถยนต์นั่ง 397,542 คัน
และหากดูจากเป้าหมายที่ “Top 3” ที่วางไว้ แน่นอนว่าต้องเข้ามาชนกับเจ้าถิ่นที่สร้างผลงานได้อย่างแข็งเกร่งในปีที่ผ่านมา อันได้แก่ “Toyota” ยอดขาย 202,719 คัน ส่วนแบ่งตลาด 31.6% – “Isuzu” ยอดยาย 177,864 คัน ส่วนแบ่งตลาด 27.7% และ “Ford” ยอดขาย 65,842 คัน ส่วนแบ่งตลาด 10.3%
ไม่รู้เหมือนกันว่าการเข้ามาของ CP จะทำให้ Top 3 หนาวๆ ร้อนๆ กันบ้างไหม!!