“กล้องฟิล์ม” คืนชีพ ได้ดารา คนดัง ดันกระแส “ฟูจิฟิล์ม” ปรับกลยุทธ์ ใช้พลังอินฟลูเอนเซอร์ปั้นยอด

โหยหาผลิตภัณฑ์ที่เคยมีมาในอดีตกำลังเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ ด้วยพวกเขาเหล่านี้กำลังต้องการสร้างความแตกต่างให้กับไลฟ์สไตล์และเอกลักษณ์ของตัวเอง การใช้สินค้าที่แมสมากๆ จนใครๆ ก็มี จึงไม่ใช่แนวทางที่คนกลุ่มนี้ต้องการ หันไปหาสินค้าที่หาไม่ได้ทั่วไปดีกว่าถึงตอบโจทย์

กล้องฟิล์มก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่คนรุ่นใหม่กำลังหันมาให้ความสนใจ เพราะวันนี้ใครๆ ก็สามารถใช้หยิบกล้องสมาร์ทโฟนขึ้นมากดแชะปรับสีซะหน่อยแล้วอัพขึ้นโซเชียลมีเดียได้แล้ว หากกล้องฟิล์มยังมีมนต์เสน่ห์ตรงที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่า รูปที่ถ่ายไปจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญยังสามารถเอารูปที่ถ่ายไปอัพอย่างเก๋ๆ ได้ด้วย

เทรนด์นี้เริ่มลั่นชัตเตอร์ราว 2-3 ปีแล้ว โดยเริ่มจากกลุ่มศิลปิน ดารา แล้วค่อยลามไปหากลุ่มอื่นๆ แต่ด้วยราคาของกล้องฟิล์มที่ค่อนข้างสูง ทำให้กลุ่มที่เอื้อมถึงมีจำกัด แต่ด้วยความที่อยากได้จึงหันไปหากล้องอีกชนิดที่เรียกว่ากล้องถ่ายภาพด่วน” (Instant Cameraที่ถ่ายภาพและสามารถปรินต์ภาพได้ทันทีในเวลานั้น

กระแสนี้ถูดจุดพลุด้วยกลุ่มฮิปสเตอร์ซึ่งเด็กแนวในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยมีพฤติกรรมนิยมทุกสิ่งที่นอกกระแส ขณะเดียวกันดารา เช่น ญาญ่าอุรัสยา และอินฟลูเอนเซอร์อย่าง แป้งโก๊ะ ก็ใช้งาน เมื่อแฟนคลับและผู้ที่ติดตามไปเห็นจึงซื้อมาใช้บ้าง โดยในตลาดมีไม่กี่แบรนด์ ได้แก่ ฟูจิฟิล์ม อินสแตกซ์, โพลารอยด์, โลโม และไลก้า

ถ้าจะถามว่าแบรนด์ไหนที่แอคทีฟมากที่สุดและคนรู้จักในวงกว้าง คำตอบคือฟูจิฟิล์ม ที่เริ่มส่งแบรนด์อินสแตกซ์ ลงสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปัจจุบัน 20 กว่าปีแล้ว เฉพาะปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 10,020,000 เครื่อง จากการจำหน่ายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยยอดขายจากไทย ติด Top 5 ต่อจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และ ฟิลิปปินส์

สภารัตน์ ประดิษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด แผนกโฟโต้อินเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

กล้องอินสแตกซ์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกเรื่อยๆ เพราะวัยรุนมีพฤติกรรมที่ถ่ายรูปเพื่ออัพขึ้นโซเชียลจากรูปที่ถูกปรินต์ออกมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้กลุ่มผู้ใช้ยังมีวัยทำงาน รวมไปถึงกลุ่มที่แต่งคอสเพลย์ก็นิยมเอามาถ่าย เพื่อนำรูปขายให้กับกลุ่มแฟนคลับทันที

ถึงดูจะไปได้สวยแต่ตลาดนี้มีข้อจำกัดตรงที่ยังเล็กอยู่ ที่ผ่านมาฟูจิฟิล์มเองก็พยายามกระตุ้นตลาดผ่านการออกสินค้าใหม่มาโดยตลอด ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ก็ได้ออก Instax Square SQ10 เป็นการแตกเซ็กเมนต์ใหม่ วางจุดยืนเป็นกล้องถ่ายภาพด่วนแบบไฮบริด ระหว่างอินสแตกซ์ผสมกับดิจิทัล มีจอ LCD ดูภาพก่อนปรินต์ได้

ในปีนี้ได้มีการต่อยอดโดยออกกล้องรุ่นใหม่ “Instax mini LiPlay” มีจุดเด่นตรงที่นำเทคโนโลยีบันทึกเสียงเข้าไปในภาพได้โดยสามารถฟังข้อความเสียงที่บันทึกผ่านการสแกน QR code และสามารถสั่งกดชัตเตอร์ผ่านสมาร์ทโฟนได้ มีให้เลือก 3 สีในราคา 5,490 บาท

ขณะเดียวกันโอกาสย่อมมาจากความท้าทายสภารัตน์ระบุว่าความท้าทายสำหรับการทำตลาดกล้องอินสแตกซ์มี 2 ข้อด้วยกัน 1.ทำให้ผู้ลูกค้ารู้สึกว่าฟิล์มราคา 270 – 310 ต่อกล้อง 10 ใบ ไม่ได้แพงขนาดนั้นเพราะราคานี้ลดลงมาจาก 350 บาทแล้ว และ 2.ทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกของมันต้องมี

เพื่อแก้โจทย์ทั้ง 2 ข้อฟูจิฟิล์มจึงใช้งบกว่า 30 ล้านบาททำตลาดภายใต้แคมเปญ #LiveLifePlay โดยเปลี่ยนกลยุทธ์จากมิวสิกมาร์เก็ตติ้งที่ใช้ BNK48 มาโปรโมตในปีที่ผ่านมา เป็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์กว่า 30 รายจาก 7 กลุ่มได้แก่ ศิลปะ ท่องเที่ยว แฟชั่น บิ้วตี้ ครอบครัว อาหาร และสัตว์เลี้ยง เพื่อเจาะแยกกันไปในแต่ละพฤติกรรมผู้บริโภค

ยุทธวิธีนี้ฟูจิฟิล์มเชื่อว่าภายในสิ้นปี 2019 จะมียอดขายจากกลุ่มรุ่นใหม่ 10,000 ตัว และทำให้ภาพรวมมียอดขายทั้งหมด 100,000 ตัว เติบโตจากปี ก่อน 30% ซึ่งมียอดขาย 70,000 ตัว จากกล้องอินสแตกซ์ 10 กว่ารุ่นที่วางจำหน่าย