ภาพ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ : https://www.facebook.com/tobtkn/
ไม่ว่าอย่างไร “ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง” ดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับตลาดสาหร่ายไปเสียแล้ว สังเกตได้จาก “เถ้าแก่น้อย” ผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 69% ที่ใช้มานานกว่า 10 ปี เฉพาะครึ่งปีแรก 2019 ใช้กลยุทธ์นี้ไปถึง 2 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกกับ 4 หนุ่มวง “F4” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ “เถ้าแก่น้อย บิ๊กโรล” โดยถือเป็นครั้งแรกของ “ไอดอลจีน” กับแบรนด์เถ้าแก่น้อย หวังเจาะฐานแฟนคลับทั้งจีนและไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดจีนที่คิดเป็นยอดขายกว่า 40% จากรายได้ทั้งหมด 5,662 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
ส่วนครั้งที่ 2 เปลี่ยนมาเป็นเกิร์ลกรุ๊ปโดยใช้ศิลปิน ได้แก่ 6 สาว “BNK48” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าใหม่ปลาหมึกแผ่นเคลือบซอสไข่เค็ม “เถ้าแก่น้อย ทินเท็น” โดยเชื่อว่านอกจากจะช่วยสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ และยังจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมีส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 10% ภายใน 2 ปี
ยังไม่หมดแค่นั้น ในครึ่งปีหลังนี้ยังมีการใช้ “ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง” เป็นครั้งที่ 3 หากครั้งนี้เลือกใช้ไอดอลวงเกาหลี ได้แก่ “เซฮุน” (Sehun) แห่งวง EXO โดยหวังให้เข้ามาช่วยกระตุ้น ”สาหร่ายกลุ่มทอด” ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่ที่สุดในตลาด และมีสัดส่วนรายได้ 41.6% หรือ 2,357.1 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันการเลือกใช้ “เซฮุน” นั้นไม่ได้มีเป้าหมายแค่เมืองไทย หากยังต้องการสร้างกระแสและการรับรู้ในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงประเทศจีน ซึ่งทั้ง 4 ประเทศถือเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายมากที่สุดราว 46% จากรายได้ทั้งหมด หรือราว 2,700 ล้านบาท
อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ตั้งแต่ 2 กรกฏาคม ที่ผ่านมา กระแสตอบรับเร็ว และแรงเกินคาด
โดยหลังจากเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ 15 นาที พบว่า #TaokaenoiXSehun สามารถติดอันดับ 1 Top Trend Thai ใน “Twitter Trend” รวมถึงครองอันดับ 1-5 Twitter Trend ในต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังติดอันดับ 2 ของโลกใน Worldwide Twitter Trend ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
พร้อมกันนี้เถ้าแก่น้อยยังเปิดตัวแคมเปญ “เถ้าแก่น้อยพาบินลัดฟ้า ชมคอนเสิร์ต EXO ถึงแดนกิมจิ 5 วัน 3 คืน กับคอนเสิร์ต EXO PLANET #5 –ExplOration-” และยังมีแผนจัดแคมเปญออกมาเซอร์ไพรส์แฟนคลับอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ด้วย
สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายในเมืองไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยใน 5 เดือนแรกที่ผ่านมามีการเติบโตคงที่ ขณะที่ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นหลังจากที่การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายกลับมาคึกคัก รวมถึงมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่จะออกมากระตุ้นกำลังซื้อ ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ตลาดสาหร่ายโดยรวมจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน.