เมื่อ “เม็ดเงินโฆษณา” ไม่หวือหวาเหมือนวันวาน ด้วยแบรนด์ตัดลดงบตามภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ถึงแม้ว่าปี 2019 มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จะประเมินตัวเลขเติบโต 5% จาก 87,109 ล้านบาท เป็น 91,429 ล้านบาท หากไม่อาจคอนเฟิร์มได้ว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ที่ผ่านมาบรรดาผู้ที่อยู่ในธุรกิจสื่อต่างไดเวอร์ซิฟายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เพื่อความอยู่รอด
เช่นเดียวกับ “เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์” ซึ่งอยู่ในธุรกิจสื่อมาแล้ว 10 ปี โดยวางตัวเองเป็น Content Provider มีการผลิตรายการฟอร์แมต การรับจ้างผลิตรายการ ละครซิทคอมอยู่ในช่องต่างๆ ได้แก่ ช่อง 3 ช่อง 7 ไทยรัฐทีวี อมรินทร์ทีวี รวม 11 รายหาร และขายฟอร์แมตไปต่างประเทศ รู้ดีว่าธุรกิจหลักที่ทำอยู่ไม่ได้ “หอมหวาน” อีกแล้ว
เพราะค่าโฆษณาเฉลี่ย 200,000 บาทต่อนาทีมีแนวโน้มทรงตัว บางช่วงลดลง 5 – 10% แม้ปีที่ผ่านมาจะเติบโตเล็กน้อย 2 – 3% ซึ่งในมุมของการทำธุรกิจการเติบโตเท่านี้ไม่เพียงพอ นับตั้งแต่ปีที่แล้วเซ้นส์จึงเริ่มแตกธุรกิจไปทำธุรกิจใหม่
ด้วยเห็นว่า รายการที่ทำอยู่ต่างอยู่ในช่วงเวลา “ไพรม์ไทม์” เกือบทั้งสิ้น คือตั้งแต่เวลา 17.00 – 23.30 น. และรายการที่เป็นที่นิยมเช่น “ลูกทุ่งไอดอล” เมื่อคำนวณเรตติ้งมาเป็นจำนวนผู้ชมมีกว่า 3 – 4 ล้านคน จึงควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เป็นที่มาเซ้นส์ได้ตัดสินใจร่วมทุน “มาลาคี” ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายสินค้านำเข้าจากเกาหลีใต้ เช่น เครื่องสำอางและเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ตั้งบริษัท “เวลโค” เพื่อทำธุรกิจ Home Shopping โดย Tie-in ผ่านรายการที่ออกอากาศอยู่แล้ว มีสินค้าราว 8-9 SKU
ผลปรากฏว่าสามารถทำได้รายได้คิดเป็นสัดส่วน 10% จากรายได้รวม “วราวุธ เจนธนากุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด บอกว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำ Home Shopping ใน 1 ปีมานี้ คือการที่ต้องมีของแถมเยอะๆ เช่นกลุ่มเครื่องครัวที่ขายได้เรื่อยๆ ส่วนเครื่องสำอางจะขายดีมากขึ้นหามีการโปรโมต
“ในวันที่ตลาดโฆษณมีทางเลือกมากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่ม Content Provider ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ด้วยธุรกิจสื่อไม่สวยงานเหมือนเดิม โดยสร้างธุรกิจใหม่เข้ามาเป็นอีโคซิสเต็มมากขึ้น ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วนั้นคือมีเดียเป็นจุดตั้งต้น และใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด”
ขณะเดียวกัน ถึงธุรกิจ Home Shopping มีแนวโน้มเติบโต แต่ลึกๆ เซ้นส์ก็มองว่าไม่เพียงพอ จึงหาทางต่อยอดมีเดียไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ อีก โดยสิ่งที่เซ้นส์พบคือ ผู้ชมรายการส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง บางรายการมีสัดส่วนกว่า 60% จึงสนใจที่จะขายสินค้าให้กับผู้หญิง แรกๆ มองสินค้าไว้หลายตัวแต่สุดท้ายมาลงตัวที่ “เครื่องสำอาง”
เพราะนี่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องใช้อยู่แล้ว อีกทั้งตลาดความงามไทยเติบโตขึ้นทุกปี ข้อมูลจาก L’Oréal ระบุปี 2018 เติบโต 7.31% มีมูลค่ากว่า 1.92 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เติบโตต่อเนื่องที่ราว 7% มากว่า 5 ปี และเมืองไทยเป็นตลาดที่ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การกระโดดเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอางอย่างจริงจังของเซ้นส์ ได้เลือกที่จะจับมือกับ YG ENTERTAINMENT บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งรู้จักกันมา 3 ปีแล้ว เนื่องจากเซ้นส์ได้เข้าไปติดต่อเรื่องการนำรายการมาผลิตเพื่ออกอากาศในไทย แต่จริงๆ แล้ว YG ไม่ได้มีธุรกิจแค่นั้นยังทำมีเครื่องอางด้วย
โดยหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นไฮไลต์คือ “Moonshot” ซึ่งปรกติวางขายในเคาน์เตอร์แบรนด์ราคานับพันบาท และมี BLACKPINK ที่กำลังโด่งดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ หากจำกันได้ปลายปีที่แล้วได้มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้น เนื่องจาก “โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” ได้ทุ่มเงินนับแสนซื้อเครื่องสำอาง เพื่อรับสิทธิ์เป็นผู้ที่มียอดซื้อสูงสุดที่จะได้ โปสเตอร์พร้อมลายเซ็น สิทธิ์เข้างานแถลงข่าว และได้สิทธิ์ถ่ายรูปคู่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในงาน Moonshot x Lisa 1st Fan sign in Bangkok
จากกระแสครั้งนั้นเซ้นส์ใช้เวลาพูดคุยกับ YG กว่า 6 เดือน ก่อนจะได้รับสิทธ์ในการจำหน่ายสินค้า Moonshot มีระยะเวลาสัญญาเบื้องต้น 3 – 5 ปี เพื่อจุดพลุในการทำตลาดจึงได้ดึง “ลิซ่า–ลลิษา มโนบาล” ศิลปินวง BLACKPINK เป็น Brand Ambassador และพรีเซ็นเตอร์ Collection ใหม่ Limited Edition สินค้ามีทั้งหมด 6 SKU ราคา 139 – 189 บาท ซึ่งลิซ่าเป็นคนเลือกทั้งหมด บนแพ็กเกจจิ้งมีลายเซ็นด้วย
ตัวสินค้านำเข้าจากเกาหลีทั้งหมด วางขายใน 7-Eleven กว่า 7,900 สาขาทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เซ้นส์นำสินค้าเข้าไปขายรีเทล หลังจากได้กระโดดเข้าสู่ธุรกิจ Home Shopping ได้ราว 1 ปีกว่าๆ ตั้งเป้ายอดขายราว 160 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะดึง “ลิซ่า” มาร่วมโปรเจกต์อื่นๆ อีก 2 – 3 แบรนด์
“ธุรกิจมีเดียหาโอกาสเติบโตได้ยากแล้ว แต่ในธุรกิจรีเทลยังมีช่องทาง เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และแมส อีกทั้งยังสามารถทำกำไรได้มากกว่า ที่สำคัญโตเร็ว นอกเหนือจาก Moonshot แล้วยังวางแผนที่จะทำสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม FMCG เพิ่มขึ้นด้วย จะมีทั้งที่สร้างแบรนด์ขึ้นมาเองและนำเข้า ต่อไปคาดหวังที่จะให้รายได้จากธุรกิจนี้กินสัดส่วนมากกว่าครึ่ง”
ขณะเดียวกันเซ้นส์ไม่ได้จะทิ้งธุรกิจสื่อไปซะทีเดียว ในปีนี้เตรียมดึงโปรดิวเซอร์จากเกาหลีเข้ามาร่วมทีม เพื่อทำฟอร์แมตสำหรับไปต่างประเทศ “วราวุธ” ยกตัวอย่างรายการ The Voice ที่คิดครั้งเดียวแต่ขายสิขสิทธิ์ได้ตลอด อย่างตอนนี้ทำมา 7 – 8 ซีซั่น ขายสิทธ์การผลิตรายการไปแล้ว 89 ประเทศ คิดคร่าวๆ ประเทศละ 10 ล้าน แต่ละซีซั่นทำรายได้นับ 1,000 ล้านบาท
เบื้องต้นวางแผนจะทำฟอร์แมตออกมา 3 – 5 ฟอร์แมต หลังจากนั้นจะผลิตและออกอากาศในไทย เพื่อแสดงให้เห็นผลตอบรับของรายการเป็นอย่างไรค่อยขายลิขสิทธ์ ขณะนี้มีรายการ “เสียงนี้มีราคา Singer Auction” ที่ทางเวียดนามซื้อลิขสิทธิ์ไป 2 ซีซั่นติด ยังมีประเทศอื่นๆ สนใจอีก เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบางประเทศในยุโรป
ในปี 2019 “เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์” ตั้งเป้ารายได้เติบโต 25% มากที่สุดในรอบ 3 ปี รายได้หลัก 650 ล้านจะยังมาจากธุรกิจสื่อ ส่วน Home Shopping และรีเทล อีก 200 ล้านบาท และสุดท้าย 30 – 40 ล้านบาท จากอีเวนต์.