ปัจจุบัน CPF ถือเป็นบริษัทธุรกิจอาหารใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และติดอันดับ 1,000 ของโลก หลังลงทุนธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) สร้างรายได้หลักกว่า 80% แผนลงทุน 5 ปีนี้โฟกัสธุรกิจอาหาร (Food) เพื่อกระจายพอร์ตโฟลิโอให้เท่ากันทั้ง 3 เสาหลัก พร้อมสานวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก”
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2562 กล่าวว่า แผนธุรกิจ 5 ปี (2562 – 2566) จะโฟกัสการขยายธุรกิจอาหาร (Food) มากขึ้น ครอบคลุมการผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป โออีเอ็ม อาหารปรุงสุกและอาหารพร้อมรับประทาน ปัจจุบันธุรกิจอาหารคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 17% ของซีพีเอฟ
ภายใน 5 ปีนี้ ธุรกิจอาหารจะขยับขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ เป็นการปรับพอร์ตให้ทั้ง 3 ธุรกิจหลักเท่ากัน จากปัจจุบันธุรกิจอาหารสัตว์ 42% และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ 41%
เครือซีพีอายุเกือบ 100 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจต้นน้ำ อาหารสัตว์ และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันขยายครอบคลุมทุกด้านแล้วทั้งสัตว์บกและทะเล ด้วยเป้าหมาย “ครัวของโลก” จึงต้องมุ่งขยายการลงทุนธุรกิจอาหารมากขึ้น ซึ่งจะมีทั้งการซื้อกิจการ (M&A) การร่วมทุน และการสร้างแบรนด์เอง การลงทุนธุรกิจอาหารที่เป็นธุรกิจปลายน้ำ จะช่วยสร้างมูลค่าและทำ “กำไร” ได้ดีกว่าธุรกิจอาหารสัตว์และเลี้ยงสัตว์
โฟกัสธุรกิจอาหารตามเทรนด์โลก
กลุ่มธุรกิจอาหารปัจจุบันมีทั้งการผลิต แปรรูป โออีเอ็มให้กับคู่ค้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เคเอฟซี ที่ผลิตไก่สดส่งให้ 10 ประเทศ เช่นเดียวกับในไทยที่มีทั้งแปรรูปและพร้อมรับประทาน ตัวอย่างล่าสุด ไก่เบญจา แบรนด์ยู-ฟาร์ม ซึ่งเป็นนวัตกรรมอาหารสุขภาพ เริ่มจากเนื้อไก่แปรรูป ปลายปีนี้จะเปิดตัวสินค้าพร้อมทาน ตอบโจทย์เทรนด์สะดวกซื้อ
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสินค้าในกลุ่ม Smart เช่น อาหารเพื่อผู้ป่วยและผู้สูงวัยอย่าง Smart Soup, อาหารมังสวิรัติ Smart Meal และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Smart Drink
สำหรับเทรนด์ธุรกิจอาหารระดับโลกปัจจุบันมี 9 เทรนด์ คือ อาหารปลอดภัย แหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืน ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน บริการด้านฟู้ดเดลิเวอรี่ อาหารเพื่อสุขภาพ ระบบการผลิตอัตโนมัติ อาหารเฉพาะบุคคล เช่น สูงวัย ผู้ป่วย วัตถุดิบและส่วนผสมจากธรรมชาติ และอาหารพรีเมียม แนวทางธุรกิจอาหารของซีพีเอฟก็จะสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลก
5 ปีรายได้ 8 แสนล้านบาท
ปีที่ผ่านมา CPF มีรายได้ 5.67 แสนล้านบาท กำไร 15,531 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากตลาดในประเทศและส่งออก 33% และรายได้จากต่างประเทศที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน 16 ประเทศ สัดส่วน 67%
แผนธุรกิจ 5 ปีนี้จะใช้เงินลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาทต่อเนื่องทุกปี เพื่อเป้าหมายเติบโตปีละ 10% โดยวางเป้าหมาย 5 ปีจากนี้รายได้แตะ 8 แสนล้านบาท โดยสัดส่วน 75% มาจากธุรกิจต่างประเทศ และอีก 25% ธุรกิจในไทยและส่งออก
“ซีพีเอฟ จะใช้โมเดลธุรกิจไทยที่มี 3 ธุรกิจเข้าไปลงทุนในต่างประเทศทั้ง 16 ประเทศ ปีที่ผ่านมาธุรกิจไทยมีรายได้ 1.5 แสนล้านบาท นั่นหมายถึงการทำให้ทุกประเทศมีรายได้เหมือนไทย ปัจจุบันจีนทำรายได้แสนล้านบาทแล้ว เวียดนาม อยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท”
ลงทุนนวัตกรรม-เทคโนโลยี
นอกจากนี้กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรยุค 4.0 ได้นำแนวคิดนวัตกรรมเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและทุกผลิตภัณฑ์ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) คลาวด์ (Cloud Computing) บิ๊กดาต้า ไอโอที (Internet of Thing : IOT) ตลอดจนระบบอัตโนมัติ มาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการ
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ ระบบการตลาดดิจิทัลและช่องทางการจำหน่ายสินค้าอีคอมเมิร์ซ เพิ่มทั้งประสิทธิภาพการทำธุรกิจ และรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภค รวมทั้งลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D Center) โดยใช้งบลงทุนราว 1,000 – 2,000 ล้านบาท
“การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่องค์กร 4.0 เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกด้าน ไม่สามารถทำเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งได้”
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
- ไก่เบญจา-สตาร์ทอัพร้านอาหาร สตอรี่ใหม่ CPF ต้องเล่าให้หนักขึ้น
- ซีพี เปิด “Harbour” บุฟเฟ่ต์หรูจากไต้หวัน ที่ “ธนินท์” ต้องเข้าคิวรอ