จับกระแส ‘ลาบูบู้’ จะร้อนแรงได้นานแค่ไหน? เมื่อไทยเริ่มเย็น แต่ทั่วโลกยังเดือด

ย้อนไปช่วงต้นเดือนเมษายน 2024 กระแสของเจ้า ลาบูบู้ (Labubu) ก็ถูกจุดติดในชั่วข้ามคืนโดย ลิซ่า BLACKPINK ที่อวดพวงกุญแจ Labubu Macarons (ลาบูบู้มาการอง) หรือ The Monster Exciting Macaron จาก POP MART แบบยกกล่องโชว์ลง IG Story กันไปเลย จากนั้นกระแสของเจ้าลาบูบู้ รวมถึงอาร์ตทอยทั่วโลกก็พุ่งกระฉูด

ฟันกำไรเป็นหมื่นล้านเพราะลาบูบู้

เชื่อว่านับตั้งแต่ที่เกิดจาก ลิซ่า BLACKPINK อวดพวงกุญแจ Labubu Macarons ทำให้คนที่ไม่รู้จักเจ้าลาบูบู้ หรือแบรนด์ POP MART ก็คงได้ทำความรู้จัก และจากกระแสดังกล่าวก็ทำให้ปี 2024 POP MART สามารถรายได้ 61,041 ล้านบาท มีกำไร 15,487 ล้านบาท และแน่นอนว่าสินค้าในกลุ่ม THE MONSTERS ที่ลาบูบู้เป็นหน่งในคาแรกเตอร์ สามารถโกยยอดขายได้เป็นอันดับ 1 ที่ 14,235 ล้านบาท

และเมื่อเจาะลึกการเติบโตของยอดขายในแต่ละภูมิภาภาค จะพบว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตสูงสุดที่ +619.1% ตามด้วย อเมริกาเหนือ +556.9%, ยุโรป ออสเตรเลีย และอื่น ๆ +310.7%, เอเชียตะวันออก และฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน +184.6%

กระแสต่างประเทศยังแรง

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 1 ปี นับจากกระแสที่เกิดจาก ลิซ่า BLACKPINK จนราคาในไทยกลับมาสู่ภาวะปกติที่ราว ๆ Box Set ละ 3,300 บาท จากที่เคยพุ่งไปถึงเซ็ตละ 1 – 2 หมื่นบาท เพราะต้องยอมรับว่า ลาบูบู้ ไม่ใช่สินค้า Limited เมื่อมีความนิยม ทาง Pop mart ก็ยิ่งผลิตออกมาจำหน่าย ทำให้สินค้า มีเพียงพอ กับความต้องการ บวกกับกระแสที่ซาลง ทำให้บรรดาพ่อค้า-แม่ค้ารีเซล เลยเลิกตุนสินค้าไว้ขาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระแสลาบูบู้ในไทยจะเบาบางลงไป แต่ในระดับโลกก็ยังเป็นยังคงเป็นที่พูดถึง และมีกระแสความนิยมให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อ Vogue Italia และ Teen Vogue เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ ลิซ่า ที่ทำให้ลาบูบู้ เป็นที่นิยมมากขึ้น จนทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก และทำให้ลาบูบู้กลายเป็น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ต้องมี

แม้แต่ คาซิง ลุง (Kasing Lung) ศิลปินผู้ออกแบบเจ้าลาบูบู้ยังออกมายกเครดิตให้กับลิซ่า และได้ส่งตุ๊กตาลาบูบู้ที่มีตัวเดียวในโลกให้ลิซ่าไปเลย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับก่อนว่า ความนิยมของเจ้าลาบูบู้ไม่ได้เกิดจากแค่ตัวลิซ่าเท่านั้น แต่เพราะมีสินค้าบางคอลเลกชั่นที่ผลิตแบบ Limited ทำให้เกิดความต้องการสูงและกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายเพื่อ เก็งกำไร

บางประเทศต้องหยุดขายเพราะตีกัน

ย้อนไปเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้าน POP MART ใน อังกฤษ ทั้งหมด 16 สาขา ได้ประกาศหยุดจำหน่ายลาบูบู้เป็นการชั่วคราว หลังเกิดเหตุลูกค้าทะเลาะแย่งสินค้ากันอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่สูงมากจนเกิดปัญหา ซึ่งความนิยมของลาบูบู้ในอังกฤษนั้น มีการตั้งแคมป์ค้างคืนเพื่อรอซื้อลาบูบู้กันเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่อังกฤษ แต่ POP MART ใน เกาหลีใต้ ก็ได้ระงับการขายลาบูบู้แบบออฟไลน์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีคนไปต่อคิวยาวเพื่อกว้านซื้อทำกำไร

เช่นเดียวกับในจีน ในศูนย์การค้า Tianhe ในเมืองกว่างโจว ที่บรรดาแฟนคลับและกลุ่มนักเก็งกำไรแห่เข้าคิวแน่นร้าน Pop Mart เพื่อชิงซื้อ Labubu Soft Vinyl Plush Clip ซีรีส์ใหม่ล่าสุดที่เปิดขายแบบจำกัดจำนวน จนทำให้ราคาพุ่งถึง 2,500 หยวน หรือราว 12,500 บาท จากราคาหน้าร้าน 199 หยวน (ประมาณ 995 บาท) แม้แต่คิวต่อแถวก็ยังขายได้เลยทีเดียว

และอีกกรณีในจีนอีกเช่นกัน แต่ไม่ใช่การซื้อเป็นการ แจกลาบูบู้ โดยธนาคาร เพื่อใช้ดึงดูดลูกค้าให้มาเปิดบัญชีฝากเงิน จนทำให้สำนักบริหารกำกับดูแลการเงินจีนได้สั่งห้ามธนาคารแจกลาบูบู้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของลาบูบู้ที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้

ขนาดเท่าคนจริงประมูลจบ 5 ล้านบาท!

อีกจุดที่สะท้อนถึงความคลั่งไคล้ (หรืออาจเป็นโอกาสเก็งกำไร) ก็คือการ ประมูลลาบูบู้ขนาดเท่าคนจริง ที่กรุงปักกิ่ง และสามารถทำราคาได้สูงเกือบ 1.08 ล้านหยวน (ราว 4.87 ล้านบาท) โดยความพิเศษของเจ้าลาบูบู้ตัวนี้ไม่ใช่แค่ขนาดเท่าคนจริง แต่ลาบูบู้ตัวดังกล่าวเป็นรุ่นพิเศษ สีเขียวมิ้นท์ ความสูง 131 เซนติเมตร และที่สำคัญคือ มีเพียงหนึ่งตัวในโลก เพราะเป็น ตัวต้นแบบ ที่ถูกดีไซน์โดยดีไซเนอร์และนำมาแสดงในงานอีเวนต์ของร้าน

โดยรวมแล้ว ลาบูบู้ยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่ร้อนแรงในตลาด Art Toy และเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ทั้งในแง่ของความนิยม กระแสการเก็งกำไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนสำคัญที่ทำให้กระแสลาบูบู้ถูกจุดติดไปทั่วโลกก็คือ ดารา เซเลบคนดัง โดยเฉพาะ ลิซ่า ดังนั้น แม้กระแสจะยังแรง แต่หลายคนก็กำลังมองถึงความยั่งยืนของความนิยมในระยะยาว ว่าจะสามารถรักษาความสนใจของผู้บริโภคไว้ได้นานแค่ไหน เพราะไทยก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีถึงกระแสที่ค่อย ๆ หายไปจนกลับสู่ภาวะปกติ