ไม่ใช่แค่สังคมไร้เงินสด แต่สวีเดนหวังจะเป็นสังคมไร้บัตรเครดิตด้วย ล่าสุดประชาชนหลายพันคนในสวีเดนหันมาฝังไมโครชิปใต้ผิวหนังเพื่อใช้จ่ายเงินและทำกิจกรรมประจำวันโดยไม่ต้องพกบัตรเครดิตและเงินสด รวมถึงคีย์การ์ดเพื่อเดินทางเข้าสำนักงาน และนาฬิกาสมาร์ทว็อตช์ที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องพกติดตัวอีกต่อไป
นักสังเกตการณ์เชื่อว่าเทรนด์การฝังชิปจะขยายตัวรวดเร็วทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบัน จำนวนผู้ฝังชิปจิ๋วไว้ในร่างกายแล้วมีมากกว่า 4,000 ราย ตัวชิปมีขนาดเท่าเม็ดข้าวที่สอดเข้าไปในมือ ตัวเลขฐานผู้บุกเบิกหลักพันในเวลาไม่กี่ปีสะท้อนว่าชาวโลกอีกหลายล้านคนจะเข้าร่วมการฝังชิปลักษณะนี้ด้วย จนในไม่ช้า เทรนด์การฝังชิปอาจจะขยายวงกว้างไปทั่วโลก
Ben Libberton นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่ทำงานในสวีเดนยอมรับว่าเทรนด์การฝังชิปในร่างกายนั้นทำให้โลกเข้าใกล้ความเป็น sci-fi เหมือนในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ข้ามยุค และอาจจะมีแง่มุมร้ายกาจเหมือนในเรื่อง Black Mirror ซีรีส์ Netflix ที่ฉายให้เห็นปัญหารอบด้านที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ไฮเทคในอนาคต แต่ก็ชัดเจนว่าผู้คนจำนวนมากจะยอมสละความเป็นส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบายกว่าเดิม ท่ามกลางคุณสมบัติการใช้งานที่จัดเต็มจนส่งให้เทรนด์นี้แรงเร็วฉุดไม่อยู่
เลิกใช้ smartwatch
เช่นเดียวกับ smartwatch รุ่นราคาแพง ชิปจิ๋วจะช่วยให้ชาวสวีเดนที่ผ่าตัดฝังชิปไว้ใต้ผิวหนัง สามารถตรวจสอบสุขภาพได้ตลอดเวลา แถมยังเหนือกว่าเพราะชิปสามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย ขณะเดียวกัน ผู้ใช้จะไม่ต้องพกพาบัตรคีย์การ์ดเพื่อเข้าไปในสำนักงานและอาคาร ที่สำคัญคือการชำระเงินในร้านค้าด้วยการรูดมือกับเครื่องอ่าน ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าครั้งใหญ่สำหรับประเทศที่หวังผันตัวเป็นสังคมไร้เงินสด
ไมโครชิปที่ชาวสวีเดนเลือกใช้นั้นถูกบุกเบิกโดยอดีตนักเจาะร่างกาย Jowan Österlund ซึ่งก่อตั้งบริษัท Biohax International แล้วตั้งชื่อให้เทคโนโลยีนี้ว่า “moonshot” หนุ่ม Österlund เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune ว่าเขาได้รับการหนุนจากนักลงทุนให้ตั้งความหวังขยายการฝังชิปนี้ไปทั่วทุกทวีปของโลก “ยกเว้นแอนตาร์กติกา”
เป้าหมายนี้เกิดขึ้นเพราะ Biohax International มองว่าเทคโนโลยีกำลังจะย้ายมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ ความมั่นใจเกิดขึ้นเพราะ Österlund เชื่อมั่นว่าตัวเทคโนโลยีมีความปลอดภัยสูง ทั้งที่หลายเสียงกังวลว่าอาจจะมีการเชื่อมโยงกับอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เหรียญ 2 ด้าน
Ben Libberton นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษยกย่องว่าการฝังชิปในร่างกายมีประโยชน์ด้านสุขภาพ เพราะสามารถวัดสถิติที่ต้องพึ่งพาการเจาะเลือดแบบที่ Apple Watch เองยังทำไม่ได้ แต่ปัญหาคือขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากและวิธีการใช้งาน ซึ่งทำให้ผู้ใช้อาจตกอยู่ในความเสี่ยง
“ปัญหาคือใครเป็นเจ้าของข้อมูลนี้” Libberton ย้ำอีกว่าหากมีการใช้ชิปเพื่อซื้ออาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางไปที่โรงยิม หรือไปทำงาน ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ใช้จะถูกเก็บไว้ที่ใคร ปลอดภัยหรือไม่? “มันไม่ได้เกี่ยวกับชิปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบอื่นและการแบ่งปันข้อมูล”
การบุกเบิกฝังชิปในร่างกายของชาวสวีเดนหลายพันคนทำให้เกิดความกังวลว่าประชาชนอาจไม่ได้คิดรอบด้านมากพอถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าเทรนด์ความนิยมนี้สอดคล้องกับนโยบายหลักของสวีเดนเรื่องการงดใช้เงินสด สถิติขณะนี้คือธนบัตรและเหรียญหมุนเวียนในเศรษฐกิจสวีเดนนั้นคิดเป็น 1% เท่านั้น ซึ่งเมื่อสังคมเลิกใช้เงินสด ปัญหาอาชญากรรมในประเทศก็ลดลงตามไปด้วย เช่นสถิติการปล้นธนาคารที่ลดลงเหลือ 2 ครั้งเท่านั้นในปีที่แล้ว เทียบกับ 110 ครั้งในปี 2008.