ในภาวะที่เศรษฐกิจยังเอาแน่เอานอนไม่ได้เม็ดเงินโฆษณายังไม่มีทีท่าจะกระเตื้องขึ้นทำให้ผลประกอบการของหลายบริษัทยังอยู่ในภาวะ “ตัวแดง” เช่นเดียวกับ “แกรมมี่” ที่ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 2/2562 ระบุว่ามีรายได้จากการขายสินค้า/บริการ และค่าลิขสิทธิ์ จำนวน 1,458 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 13.7% จากรายได้ธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจเทรดดิ้ง
เมื่อแยกย่อยลงไปในแต่ละธุรกิจจะพบว่า “ธุรกิจเพลง” เป็นธุรกิจหลักของประกอบด้วยการจำหน่ายสินค้าเพลง (Physical product), ดิจิทัลมิวสิค, การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์, ธุรกิจโชว์บิซ, ธุรกิจบริหารศิลปิน และธุรกิจอื่นที่สนับสนุนธุรกิจ ในไตรมาส 2/2562 มีรายได้จากธุรกิจเพลง 893 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61% ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.4%
โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจดิจิทัลมิวสิกและธุรกิจบริหารศิลปิน ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีการจัดคอนเสิร์ตใหญ่หลายรายการ เช่น “PECK PALITCHOKE Concert#2 : LOVE IN SPACE”, “What The Fest! Music Festival 2” และ “คอนเสิร์ต ต่าย อรทัย ดอกหญ้ากลางเมืองใหญ่”
“ธุรกิจเทรดดิ้ง” ประกอบด้วยธุรกิจจัด จำหน่ายสินค้าโฮมช้อปปิ้ง และธุรกิจจัดจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวี ในไตรมาสนี้ ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งมีรายได้ 422 ล้านบาทลดลง 23.4% จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนธุรกิจกล่องรับสัญญาณทีวี มีรายได้ 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8%
“ธุรกิจภาพยนตร์” ในไตรมาส 2/2562 ไม่มีภาพยนตร์ใหม่เข้าฉาย แต่มีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์จำนวน 33 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 2/2561 มีภาพยนตร์ใหม่ “น้องพี่ที่รัก” เข้าฉายในช่วงนั้นรายได้รวม ของไตรมาสจึงสูงถึง 183 ล้านบาท
“ธุรกิจการลงทุน” ประกอบไปด้วย บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจดิจิทัลทีวี ‘ช่อง One31’ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้มีละครที่ได้รับกระแสตอบรับดีหลายเรื่อง และ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล โฮลดิ้ง จำกัด ประกอบด้วยธุรกิจดิจิทัลทีวี ‘ช่อง GMM25’, ธุรกิจวิทยุและโชว์บิซ, ธุรกิจผลิตคอนเทนต์ ในไตรมาสนี้มีละครที่ได้รับความนิยมสูงคือ เรื่อง “เมียน้อย” ส่วนด้านคอนเสิร์ตที่ได้รับความนิยมมากคือ “The Real Nadech Concert” และ “Cassette Festival”
ทั้งนี้จากการที่ธุรกิจดิจิทัลทีวี 2 ช่อง ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากมาตรการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการดิจิทัลทีวีของภาครัฐ ทำให้ภาระ “ขาดทุน” เปลี่ยนมาเป็น “กำไร” ในไตรมาสนี้แต่แกรมมี่ไม่ได้ระบุว่ามีกำไรเท่าไหร่
สุดท้าย “ธุรกิจอื่นๆ” ในไตรมาสนี้มีรายได้ 38 ล้านบาท เติบโต 2.8% ขณะเดียวกัน “ต้นทุนขายและบริการ” เท่ากับ 851 ล้านบาท ลดลง 18.6% เนื่องจากไม่มีต้นทุนภาพยนตร์ใหม่และต้นทุนขายของสินค้าลดลง
ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ “แกรมมี่” มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 68 ล้านบาท เติบโต 33% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 51 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้รายได้จะลดลงถึง 13.7% แต่ก่อนหน้านี้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนเมษายน 2562 ได้อนุมัติให้โอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 82 ล้านบาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญจำนวน 2,951 ล้านบาท มาชดเชยขาดทุนสะสม จำนวน 3,033 ล้านบาท
ประกอบกับมีกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 ตามงบการเงินเฉพาะกิจการรวมเป็น 132 ล้านบาท ที่ประชุมคณะกรรมการ จึงมีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 82 ล้านบาท คิดเป็น 62% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการให้แก่ผู้ถือหุ้น
โดยได้กําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลระหว่างกาล (Record Date) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2562 และกําหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 12 กันยายน 2562 นี้