ภาพ : อินสตาแกรม @matsukiyo_th
2 ผู้บุกเบิกร้านขายยาและเครื่องสำอางที่เป็นคู่แข่งกันมานานอย่าง MatsumotoKiyoshi หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า Matsukiyo และ Cocokara ยอมรับว่ากำลังเจรจาควบรวมกิจการกัน แม้จะยังไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่นอน แต่ดีลนี้คาดว่าจะทำให้เกิดเชนค้าปลีกยาและเครื่องสำอางขนาดใหญ่ที่สุดในแดนปลาดิบ บนยอดขายมูลค่ารวมกันเกิน 1 ล้านล้านเยน
ก่อนหน้านี้ Cocokara เคยมีแผนผูกรวมกิจการกับคู่แข่งรายอื่นอย่าง Sugi Holdings ด้วย แต่ก็เลือกควบรวมกับ Matsukiyo แทน
ข่าวการควบรวมกันของบริษัทผู้บุกเบิกร้านขายยาและเครื่องสำอางรายใหญ่ของญี่ปุ่นสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในตลาดค้าปลีกแดนปลาดิบ มีการวิเคราะห์ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องการลดภาระแรงงานหายาก พร้อมกับการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงกว่าเดิม ท่ามกลางวิกฤติประชากรสูงวัยที่เริ่มเห็นชัดยิ่งขึ้นในแผ่นดินซามูไร
หุ้นขึ้นหลังประกาศ
หลังจากที่ 2 คู่แข่ง MatsumotoKiyoshi และ Cocokara Fine Inc. ประกาศว่าได้เริ่มการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการกัน หุ้นของ Cocokara Fine ก็พุ่งขึ้น 9% เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Cocokara Fine Inc. จะมีโอกาสเติบโตมากขึ้นเมื่อได้รวมกับ MatsumotoKiyoshi ที่มีขนาดใหญ่กว่า น่าเสียดายที่ Cocokara และ Matsukiyo ไม่เปิดเผยรายละเอียดอื่นของการเจรจา ระบุเพียงว่า Cocokara ได้รับข้อเสนอจาก Sugi Holdings เช่นกัน แต่บริษัทเลือกข้อเสนอจาก MatsumotoKiyoshi ในที่สุด
Cocokara อธิบายในแถลงการณ์ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่บริษัทจะเอาชนะความท้าทายทางธุรกิจด้วยตัวเองคนเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับ Cocokara ที่จะควบรวมกิจการกับรายอื่น ซึ่งเมื่อรวมกับ MatsumotoKiyoshi บริษัทจะมีโอกาสสร้าง “major synergy” หรือการทำงานร่วมกันที่สำคัญเช่นการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์เฉพาะทางของบริษัท
สำหรับ Matsukiyo หรือ MatsumotoKiyoshi นั้นเริ่มต้นธุรกิจจากฐานะร้านขายยาสำหรับครอบครัวในช่วงทศวรรษที่ 1930 ธุรกิจร้านขายยาเติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการเปิดสาขาใหม่และการกว้านซื้อกิจการแบบรวดเร็วฉับไว จุดเปลี่ยนสำคัญของ MatsumotoKiyoshi คือการเป็นผู้บุกเบิกการขายเครื่องสำอางลดราคาในร้านขายยา ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถทดลองใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และตัวอย่างผลิตภัณฑ์อื่นได้เสรีมากขึ้น
วันนี้ MatsumotoKiyoshi และร้านขายยารายใหญ่อื่นกำลังปรับตัวด้วยการขยายขอบเขตสินค้าออกไปให้หลากหลาย เช่น การวางจำหน่ายขนมของว่าง น้ำอัดลม และสุรา ทำให้มีลักษณะเหมือนร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปทุกที ในอีกด้าน ธุรกิจร้านขายยาก็กำลังได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นของอุตสาหกรรมค้าปลีกของญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญกับปัญหาแรงงานลดน้อยลง และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงยากลำบาก
ขาดแคลนเภสัชกร
สำนักข่าว JIJI วิเคราะห์อุตสาหกรรมร้านยาญี่ปุ่นไว้น่าสนใจ ว่าในภาวะประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ก็เพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือร้านขายยาญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงกับซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกอื่น ที่หันมาจำหน่ายยาและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมถึงอาหารแปรรูป ขณะเดียวกัน ร้านขายยาก็กำลังเผชิญกับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นท่ามกลางการขาดแคลนเภสัชกร ดังนั้นการที่กลุ่มร้านขายยารายใหญ่เข้าซื้อกิจการร้านเล็ก จึงทำให้ตลาดหันมาโฟกัสว่าทั้งคู่จะปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างไรต่อไป
หลังการควบกิจการ บริษัทใหม่ที่ถูกประเมินว่าจะมีรายรับมากกว่า 1 ล้านล้านเยน (ราว 2.9 แสนล้านบาท) นั้นจะแซงผู้นำในตลาดค้าปลีกยาและเครื่องสำอางญี่ปุ่นอย่าง Welcia Holdings และ Tsuruha Holdings ทั้งหมดนี้ส่งผลให้หุ้นของ Cocokara Fine พุ่งทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2018 ขณะที่หุ้น MatsumotoKiyoshi ลดลง 2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Sugi อีกตัวละครในดีลนี้ก็ได้รับอานิสงส์จากข่าวจนทำให้หุ้นขึ้นอีกราว 2% เนื่องจากนักลงทุนมองว่า Sugi Pharmacy จะมองหาพันธมิตรรายอื่นเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้ดีกว่าเดิม.