รุ่นใหม่ตัวท็อป iPhone 11 Pro และ Pro Max เอาไปเลยกล้อง 3 ตัว ราคาเท่าเดิม

Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ตัวท็อปในชื่อ iPhone 11 Pro ขนาด 5.8 นิ้ว และ iPhone 11 Pro Max ขนาด 6.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเลขรุ่น แต่ทั้ง 2 รุ่นก็ดูคล้ายกับ iPhone XS และ iPhone XS Max รุ่นปี 2018 แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สำหรับรุ่นใหม่ปี 2019 คือ การเพิ่มกล้องด้านหลังเป็น 3 ตัว

แม้ว่าแบรนด์อื่นจะเปิดศักราชกล้อง 4 – 6 ตัวแล้ว แต่ Apple ยังบอกว่าไอโฟนตัวท็อปรุ่นใหม่ iPhone 11 Pro และ Pro Max ที่มีกล้อง 3 ตัวนั้นเป็นสมาร์ทโฟนสำหรับลูกค้าที่ต้องการ “เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด” เคาะราคาเท่าเดิม คือ 999 และ 1,099 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 35,900 บาท ชิมลางสั่งจองตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 กันยายน ก่อนจะจัดส่งในสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 20 กันยายน

นอกจากตัวท็อปรุ่นใหม่ iPhone 11 Pro และ Pro Max Apple ยังเปิดตัว iPhone รุ่นเล็กในชื่อ iPhone 11 ซึ่งเป็นตัวที่จะมาแทน iPhone XR ซึ่งมีราคาจำหน่ายเบาๆ 699 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,400 บาท

ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Apple ยืนยันว่า iPhone 11 Pro ได้รับการออกแบบมาสำหรับลูกค้าที่ต้องการ “เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด” ตัวเครื่องได้รับการเคลือบเงาแบบใหม่ที่ด้านหลัง ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มสีใหม่ คือสีเขียว เทา เงิน และทอง โดย Apple ยกระดับหน้าจอแสดงผลเป็นแบบ OLED ใหม่ซึ่งมีความสว่างสูง 1,200 nits ที่สว่างขึ้นในอัตราส่วน contrast ratio 2 ล้านต่อ 1 และมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากขึ้น 15%

Apple เรียกหน้าจอของ iPhone 11 Pro และ Pro Max ว่า Super Display XDR display โดยเคลมว่าเป็นจอกระจกที่ทนทานที่สุดในวงการสมาร์ทโฟน

เช่นเดียวกับ iPhone 11 รุ่นเล็ก พี่กลางอย่าง iPhone 11 Pro รุ่นใหม่จะมีชิป A13 Bionic ของ Apple ซึ่ง Apple กล่าวว่ามีทั้ง CPU และ GPU ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน โดย Apple ยังเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเครื่องหรือ machine learning ใน iPhone ให้ดีขึ้น โดยไม่ลืมบอกว่า iPhone 11 มีระบบ machine learning ที่ดีที่สุดในวงการสมาร์ทโฟนเช่นกัน

Apple กล่าวว่าด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งหมด iPhone 11 Pro ขนาด 5.8 นิ้วจะใช้แบตเตอรี่ได้นานกว่า XS รุ่นปี 2018 ราว 4 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone 11 Pro Max ที่ใหญ่กว่า จะได้รับแบตเตอรี่ที่ดีกว่า XS Max ราว 5 ชั่วโมง

ไฮไลต์กล้อง-เลนส์ใหม่

iPhone 11 Pro กล้องหลัง 3 ตัว

ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นระบบกล้องใหม่ ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือและข่าวหลุดในช่วงก่อนหน้านี้ เลนส์ใหม่ตัวแรกเป็นเลนส์อัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซลพร้อมมุมมอง 120 องศา เลนส์อีกตัวเป็นกล้องมุมกว้าง ซึ่งจะทำงานร่วมกับเลนส์ตัวที่ 3 ที่เป็นเทเลโฟโต้ที่ Apple เคยนำเสนอใน iPhone รุ่นก่อน ตัวเลนส์เทเลโฟโต้ยังได้รับการอัปเกรดด้วยรูรับแสง ƒ / 2.0 ขนาดใหญ่กว่าเดิม ซึ่ง Apple กล่าวว่าจะจับแสงได้มากขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับกล้อง XS

และเช่นเดียวกับ iPhone 11 กล้องด้านหน้าของ iPhone 11 Pro เป็นเซ็นเซอร์ 12 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่ายได้ทั้ง 4K และวิดีโอสโลว์โมชั่น

การอัปเกรดฮาร์ดแวร์กล้องเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ใน iPhone 11 เท่านั้น เพราะ Apple กำลังอัปเกรดซอฟต์แวร์กล้องของตัวเอง ซึ่งในที่สุดก็ถูกย้ำว่าเริ่มจะทันกับการพัฒนาของฝั่งแอนดรอยด์ (Android) ด้วยการเพิ่มโหมดกลางคืน ซึ่งจะปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายภาพในที่มืดอย่างชัดเจน

ฟีเจอร์ Deep Fusion รออัปเดต

แอปเปิลยังเรียกเสียงตื่นเต้นได้อีกเมื่อโชว์คุณสมบัติการถ่ายภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า “ดีพฟิวชั่น” (Deep Fusion) ฟีเจอร์นี้สามารถถ่ายภาพชุด 9 ภาพ ได้แก่ ภาพ short image 4 ภาพ, ภาพ secondary image 4 ภาพ และอีก 1 ภาพที่เปิดรูรับแสงมากขึ้น จากนั้น ระบบจะใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อรวมภาพเหล่านั้นเป็นภาพสุดท้าย ที่จะเพิ่มรายละเอียดและจุดสีรบกวนน้อยลง

ประเด็นนี้ ฟิล ชิลเลอร์ รองประธานอาวุโสยอมรับว่า Deep Fusion จะยังไม่ได้มาพร้อม iPhone 11 ในขณะนี้ เพราะบริษัทจะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้

ยังมีคุณสมบัติอื่นเช่น ฟิล์มิกโปร (Filmic Pro) ที่ทำให้ iPhone 11 Pro ใหม่สามารถถ่ายวิดีโอจากกล้อง 2 ตัวพร้อมกัน รวมถึงการอัปเกรดระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า “เฟซไอดี” (Face ID) ให้สามารถทำงานได้ในมุมที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องชาร์จกำลังไฟ 18W ที่เร็วกว่า ซึ่งจะรวมอยู่ในกล่องโทรศัพท์ด้วย

iPhone 11 Pro จะเริ่มจำหน่ายที่ราคา 999 เหรียญ และ iPhone 11 Pro Max จะเริ่มต้นที่ 1,099 เหรียญ การสั่งจองจะเริ่มในวันศุกร์ที่ 13 กันยายนเวลา 8:00 น. เวลาตะวันตก หรือตรงกับ 17.00 น. เวลาแปซิฟิก และจะจัดส่งในสัปดาห์ต่อมาตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2019

source