สาวจีนรักสวยรักงามจนการสำรวจล่าสุดจาก J.P. Morgan พบว่าตลาดบิวตี้จีนมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะเติบโตจนมีมูลค่าแซงหน้าสหรัฐอเมริกาภายในปี 2023 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า อานิสงส์ไม่ได้ตกที่ใครนอกจาก L’Oreal, Estee Lauder และ Shiseido ที่จะเป็น บริษัท Top 3 ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตในประเทศจีน นักวิเคราะห์เผย “อีคอมเมิร์ซ” เป็นตัวช่วยสำคัญให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงชาวจีนนอกเขตเมืองใหญ่ได้ดีกว่าเดิม
การสำรวจตลาดครั้งใหม่ของ J.P. Morgan ตอกย้ำว่าประเทศจีนจะยังเป็นตัวขับเคลื่อนรายรับที่ใหญ่ที่สุดที่อุตสาหกรรมความงามโลก เหมือนที่เป็นมาตลอดช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าการเติบโตของตลาดบิวตี้จีนจะชะลอตัวเล็กน้อย สำหรับปี 2018 ยอดขายสินค้ากลุ่มเสริมความงามในประเทศจีนเพิ่มขึ้น 12.9% เทียบกับ 4.6% ในสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าปีนี้อัตราเติบโตก็จะทิ้งห่างในลักษณะเดียวกัน
การเติบโตนี้ทำให้แบรนด์อย่าง L’Oreal, Estee Lauder และ Shiseido แข็งแกร่งกว่าเดิม สถิติเดือนมิถุนายนพบว่า Estee Lauder เติบโตมากกว่า 40% ในตลาดจีนช่วงปี 2017 – 2018 และสามารถทำได้ดีขึ้นอีกด้วยยอดการเติบโต 67% ในช่วงปลายปี 2018 ถึงกลางปี 2019
โตเพราะระบบดิจิทัล
Andrea Teixeira นักวิเคราะห์ด้านการลงทุนอาวุโสของ J.P. Morgan กล่าวว่าสิ่งที่ทำให้บิวตี้แบรนด์เหล่านี้ดึงดูดชาวจีนได้มากคือการลงทุนในระบบดิจิทัลมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวจีนหลายคนที่อยู่นอกเขตเมือง โดยส่วนใหญ่มักสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เช่น Alibaba ซึ่งเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วกว่าการซื้อที่ห้างสรรพสินค้า
“นอกจากนี้ ทุกแบรนด์ยังมีความทะเยอทะยานพัฒนาสินค้าให้น่าดึงดูดและมีคุณภาพ ซึ่งทำให้สินค้าน่าสนใจยิ่งขึ้น” Teixeira กล่าวถึงอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งให้เครื่องสำอางแบรนด์หรูได้รับความนิยม แถมเป็นปัจจัยที่เสริมธรรมชาติของสินค้าหรูหราในฐานะเครื่องแสดงฐานะและรสนิยม
อีกจุดที่สำคัญคือชนชั้นกลางหรือวัยหนุ่มสาวที่กำลังเติบโตของจีนนั้นมีอำนาจการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการได้รับเงินอุดหนุนจากครอบครัว ส่งให้ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นผู้ซื้อรายใหม่ที่กระตุ้นการเติบโตของตลาดอย่างชัดเจน
skin-care ฮอตแรง
Teixeria กล่าวว่าสินค้าความงามที่เติบโตโดดเด่นในจีนมาตลอดคือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือ skin-care โดยบอกว่าวัยรุ่นหญิงจีนมีแนวโน้มที่จะบำรุงผิวเร็วกว่าประเทศอื่น อาจเป็นเพราะค่านิยมของเด็กสาวจีนที่รู้ตัวว่าต้องเตรียมผิวให้ดีก่อนจะสายไป ซึ่งต่างจากวัยรุ่นตะวันตกที่เน้นการแต้มสีด้วยเครื่องสำอางก่อน
หากมองที่ตลาดโลก สินค้ากลุ่มดูแลผิว skin-care ทั่วโลกเติบโตขึ้น 7.6% ในปี 2018 ที่ผ่านมา โตมากกว่าเครื่องสำอางกลุ่มแต้มสีที่เติบโต 5.2% เท่านั้น ขณะที่กลุ่มน้ำหอมเติบโต 5.5% คาดว่าเป็นผลจากพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผิว
การเติบโตแข็งแรงของตลาด skin-care สะท้อนให้เห็นชัดผ่านผลประกอบการของแบรนด์อย่าง Ulta Beauty ที่ยอมรับว่า skin-care เป็นหนึ่งในหมวดหมู่สินค้าที่มีการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในไตรมาสนี้ โดยมีอัตราการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลักทีเดียว.