บล.ทิสโก้เปิดชื่อหุ้นจาก 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสหรัฐฯ ตัดสิทธิ์ GSP ได้แก่ กลุ่มเกษตร อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์
แต่ยืนยันผลไทยติดหล่ม GSP กระทบต่อภาพรวมภาวะตลาดน้อย ชี้ประเด็นใหญ่กว่าคือเงินบาทแข็งค่ารอบ 6 ปี อาจส่งผลต่อประมาณการเศรษฐกิจไทย และกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้และปีหน้า
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า
หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งระงับการยกเว้นสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สำหรับสินค้าไทยรวม 573 รายการ มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เริ่มมีผลบังคับใช้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือในวันที่ 25 เม.ย. 2563 นั้น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหลัก คือ กลุ่มเกษตร (AGRI), กลุ่มอาหาร (FOOD) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) โดยมีกลุ่มหุ้นและรายชื่อหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น
- หุ้นอาหารทะเลส่งออก ASIAN, CFRESH, CHOTI, CPF, SSF, TC และTU
- หุ้นซอสปรุงรส ได้แก่ SAUCE
- หุ้นผักและผลไม้ ได้แก่ APURE, CM และ SFP
- หุ้นน้ำผลไม้ ได้แก่ MALEE, SAPPE และ TIPCO
หุ้นในกลุ่ม AGRI และ FOOD ข้างต้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ คือ MALEE (คำแนะนำ “ขาย” เป้าพื้นฐาน 7 บาท) และ SAPPE (คำแนะนำ “ถือ” เป้าพื้นฐาน 29 บาท) มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 10% และน้อยกว่า 10% ตามลำดับ ดังนั้น ผลกระทบน่าจะน้อยและค่อนข้างจำกัด
ส่วนหุ้นในกลุ่ม ETRON ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.ทิสโก้มีทั้งสิ้น 4 ตัว คือ DELTA (คำแนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 55.5 บาท), HANA (คำแนะนำ “ถือ” เป้าพื้นฐาน 25 บาท), KCE (คำแนะนำ “ขาย” เป้าพื้นฐาน 13.4 บาท) และ SVI (คำแนะนำ “ขาย” เป้าพื้นฐาน 4.26 บาท)
หุ้นที่เป็นห่วงว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทอาจได้รับผลกระทบการตัด GSP มากที่สุดคือ DELTA และ HANA เพราะมีการส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงประมาณ 26% และ 30% ของยอดขายรวม
อย่างไรก็ดี ผลกระทบของแต่ละบริษัทจะมากหรือน้อย นอกจากจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงแล้ว ยังขึ้นอยู่กับรายละเอียดสินค้าเชิงลึกของแต่ละบริษัทว่าเข้าข่ายถูกตัด GSP หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด รอการชี้แจงจากบริษัทอีกครั้ง
สำหรับผลกระทบการตัด GSP ต่อภาวะตลาดโดยรวมนั้น บล.ทิสโก้คาดว่ามีผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากหุ้นในกลุ่ม AGRI, กลุ่ม FOOD และกลุ่ม ETRON มีมูลค่าตลาดรวมคิดเป็นเพียง 0.3%, 6.1% และ 0.7% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดตามลำดับ
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้มองประเด็นไทยถูกตัด GSP มีผลกระทบน้อยกว่าประเด็นเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งปัจจุบันแข็งค่าหลุดระดับ 30.2 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว ถือเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 6 ปี และเป็นความเสี่ยง (Downside Risk) ต่อประมาณการเศรษฐกิจไทย และกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้และปีหน้า ซึ่งในอนาคตนักวิเคราะห์อาจจะปรับคาดการณ์กำไร และตัวเลขเศรษฐกิจไทยลงได้อีก
ในแง่ของแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บล.ทิสโก้ยังคงมุมมองดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 4 มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากแรงขับเคลื่อนด้านสภาพคล่องทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยในครั้งนี้เป็นจังหวะในการทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนเป็นรอบ
โดยแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากรัฐบาลกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่ CPALL, BJC, AOT, ERW และ SPA และ หุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องซื้อขายสูงที่คาดว่าจะเป็นเป้าลงทุนของเม็ดเงิน LTF และ RMF ไหลเข้า โดยแนะนำหุ้น AOT, BDMS, CPALL, PTT และ SCB แต่สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น เราแนะนำรอดู (Wait & See) เนื่องจากตลาดมีแนวโน้มแกว่งซิกแซกลง รอประเมินความชัดเจนของทิศทางตลาดอีกครั้ง.