สหรัฐอเมริกาประกาศเพิ่มเกณฑ์ในการพิจารณาออกวีซ่าสำหรับสตรีตั้งครรภ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดชาวต่างชาติซึ่งนิยมเดินทางเข้ามาคลอดบุตรเพื่อให้เด็กที่เกิดมาได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เกิดประเด้นที่ว่าชาวต่างชาติมักจะอาศัยวีซ่าท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกาเป็นใบเบิกทางให้บุตรของตนได้สัญชาติอเมริกัน โดยการเข้ามาคลอดบนแผ่นดินสหรัฐฯ
ทำให้ล่าสุดทางสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการปราบ “ทัวร์คุณแม่” โดยจะงดออกวีซ่าชั่วคราวประเภท B-1 และ B-2 ให้แก่บุคคลต่างด้าว “ซึ่งวัตถุประสงค์หลักในการเดินทางมายังสหรัฐฯ คือการท่องเที่ยวเพื่อคลอดบุตร (birth tourism)” โดยมีผลบังคับทันทีในวันที่ 24 มกราคม 2563
ธุรกิจนี้อู้ฟู่พอสมควร… กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ให้บริการจัดทัวร์คุณแม่บางแห่งจะเรียกเก็บค่าบริการจากหญิงที่ต้องการเข้ามาคลอดในสหรัฐฯ สูงถึงรายละ 100,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว
ข้อมูลจากศูนย์เพื่อคนเข้าเมืองศึกษา (Center for Immigration Studies) ระบุว่า ในช่วงปี 2016-2017 มีเด็กที่เกิดจากทัวร์คุณแม่ในอเมริกาประมาณ 33,000 คน ขณะที่จำนวนคนเกิดใหม่ในสหรัฐฯ แต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 3.8 ล้านคน
รัฐบาลวอชิงตันอ้างว่า พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ในระบบตรวจคนเข้าเมือง และย้ำว่าการปราบปราม “ทัวร์คุณแม่” คือสิ่งจำเป็นเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงของชาติ ตลอดจนปกป้องบูรณภาพของระบบตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ
“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อคลอดบุตรเสี่ยงที่จะทำให้โรงพยาบาลของเราต้องรับภาระหนัก และยังเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรม อย่างที่มีการดำเนินคดีมาแล้วหลายราย”
“การอุดช่องโหว่ในระบบตรวจคนเข้าเมืองจะช่วยยับยั้งการล่วงละเมิด และสกัดภัยคุกคามความมั่นคงที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมนี้ ทั้งยังเป็นการปกป้องผู้เสียภาษีชาวอเมริกันไม่ให้เงินที่พวกเขาหามาได้อย่างยากลำบากถูกดึงไปสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากทัวร์คลอดบุตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม”
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ รับรองสิทธิ์ในการได้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติแก่เด็กทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินอเมริกา
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชูเรื่องการกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล และยังเคยขู่จะยกเลิกการให้สัญชาติอัตโนมัติแก่เด็กทุกคนที่เกิดในสหรัฐฯ มาแล้ว
ภายใต้ระเบียบใหม่นี้ เจ้าหน้าที่สถานกงสุลสหรัฐฯ “จะปฏิเสธออกวีซ่าประเภท B ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าตั้งใจเดินทางเข้ามายังสหรัฐฯ เพื่อคลอดบุตร”
อย่างไรก็ดี การบังคับใช้เกณฑ์ใหม่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เจ้าหน้าที่สถานกงสุล “ไม่มีสิทธิ์ถามผู้ยื่นขอวีซ่าหญิงทุกคนว่าพวกเธอกำลังตั้งครรภ์ หรือมีเจตนาที่จะตั้งครรภ์หรือไม่ และไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกร้องขอการตรวจครรภ์ในทุกๆ รูปแบบด้วย”
เจ้าหน้าที่คนเดิมระบุว่า แต่ละปีมีเด็กหลายหมื่นคนที่เกิดจากมารดาซึ่งเป็นหญิงต่างด้าวที่ขอวีซ่าประเภท B เข้ามาคลอดในสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ