แม้ภาพรวมตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอยู่ในสภาวะทรงตัวมาหลายปี โดยปีที่ผ่านมามีอตราการเติบโตเพียง 3% แต่ถึงอย่างนั้น ตลาดยังต้องเผชิญกับ ‘คู่แข่งหน้าใหม่’ ที่ข้ามจากฟากมือถือมาลุยตลาดโน้ตบุ๊ก ดังนั้น ‘เอเซอร์’ ที่รักษาตำแหน่ง ‘เบอร์ 1’ มาอย่างยาวนานจึงปรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตใหม่ ๆ ด้วยตลาด ‘ไมโครเทรนด์’
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมียอดขายราว 2.3 ล้านเครื่อง เติบโตประมาณ 3% เมื่อแยกเป็นแต่ละตลาด พบว่าโน้ตบุ๊กเติบโต 7.5% ส่วนพีซีติดลบ 1.8% จากตัวเลขการเติบโตดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตลาด ‘อยู่ตัว’ แล้ว อย่างไรก็ตาม ‘เอเซอร์’ ยังคงเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 31%
สำหรับภาพรวมตลาดในปีนี้เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เพราะช่วงต้นปีมีสถานการณ์ไม่สงบจำนวนมาก อาทิ ‘ไวรัสโคโรนา’ ดังนั้นอาจต้องประเมินอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม การที่มีคู่แข่ง ‘หน้าใหม่’ เข้ามา โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘Ultra Thin’ ส่งผลให้การแข่งขันยิ่งดุเดือด โดยสินค้าทั่วไปของเอเซอร์ในอนาคตจะปรับให้เป็น Ultra Thin ทั้งหมด ส่วนกลุ่มเกมมิ่งก็จะยิ่งแข่งขันหนักในเรื่องของราคา
“ตลาดปีนี้ยังประเมินยาก เพราะต้นปีมีผลกระทบจากไวรัสโคโรนา แม้จะไม่ได้กระทบมาก เพราะแผนงานถูกวางไว้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา และจากยอดขายในงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โปและหน้าร้านไม่ได้ลดลงมาก แสดงว่ากำลังซื้อยังมี แต่ที่กระทบมากสุดเป็นเรื่องไลน์การผลิตบางส่วนที่ยังไม่สามารถทำงานได้ 100% แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้น”
ดังนั้น เอเซอร์จึงปรับกลยุทธ์ใหม่ จับตลาด ‘ไมโครเทรนด์’ จากเดิมมี Sub Brand ‘Predator’ ที่ทำตลาดกลุ่มฮาร์ดคอร์เกมมิ่ง ในปลายปีที่ผ่านมาได้เพิ่ม Sub Brand ‘Concept D’ จับตลาด ‘ครีเอเตอร์’ เนื่องจากเห็นโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่ไม่มีสินค้าที่ตอบโจทย์ ดังนั้นจึงต้องซื้อโน๊ตบุ๊กกลุ่มเกมมิ่งที่มีสเป็คสูงเพื่อใช้งานทดแทน นอกจากนี้ยังมี Acer Enduro สินค้าที่มีความทนทานพิเศษเพื่อเจาะกลุ่มอุตสาหกรรม
“ตลาดแมสมาชัวร์แล้ว ดังนั้นเราต้องสร้างการเติบโตจากกลุ่มอื่น ๆ อย่างแบรนด์ Concept D ในปีนี้จะเน้นการสร้างแบรนด์ คาดว่าในอีก 3-5 ปี สัดส่วนสินค้าของเอเซอร์ในอนาคตจะเป็น Ultra Thin 50% เกมมิ่ง 30% และ Concept D 10% ที่เหลือเป็นสินค้าอื่น ๆ” สุพงศ์ ตั้งตรงเบญจศีล รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก กล่าว
อลัน เจียง กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย และภูมิภาคอินโดไชน่า กล่าวว่า ปัจจุบัน เอเซอร์มีสัดส่วนรายได้จากผู้ใช้ทั่วไป 70% และองค์กร 30% ขณะที่เป้าหมายใน 3-5 ปี ต้องการบาลานซ์สัดส่วนเป็น 50/50 ดังนั้น ปีนี้เอเซอร์จะ ‘รุก’ ตลาดองค์กรมากขึ้น โดยเน้นที่โซลูชั่นกลุ่ม ‘สถานศึกษา’ เป็นหลัก เนื่องจากเป็นเซ็กเมนต์ที่เอเซอร์มีฐานลูกค้าแน่นอยู่แล้ว
โดยหนึ่งในโซลูชันที่จะเริ่มรุก คือ ชุดหุ่นยนต์จิ๋ว หรือ STEAM, โซลูชันที่ช่วยให้สถาบันการศึกษาสามารถเปิดการเรียนการสอนด้านระบบ AI ได้เร็วขึ้น รวมถึงโซลูชันด้านการเป็นโรงเรียนอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัย และโซลูชันชุดเซนเซอร์ที่มหาวิทยาลัยจะสามารถนำไปใช้เป็นตัวรับข้อมูลในโครงการวิจัยในชุมชนได้
“อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราจะรุกหนักมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ความท้าทายหลัก ๆ ของปีมาจากปัจจัยภาพนอกเป็นส่วนใหญ่ ทั้งผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ, งบประมาณของภาครัฐที่มีปัญหา และไวรัสโคโรนา แต่เรามองว่าหลายปัญหาก็เป็นแค่ระยะสั้นเท่านั้น”
#Acer #เอเซอร์ #Notebook #Predator #conceptD #Positioning