ต้านมรสุมไวรัสไม่ไหว! สายการบิน Flybe ล้มละลาย พนักงานกว่า 2 พันคน ตกงานกะทันหัน

Photo : Reuters

สายการบิน Flybe ของอังกฤษ ประกาศเข้าสู่สถานะล้มละลาย เตรียมปลดพนักงานกว่า 2,000 คนในช่วงสองเดือนนี้ หลังขาดทุนต่อเนื่อง เเม้จะกู้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลมาพยุงธุรกิจเเล้วกว่า 100 ล้านปอนด์ เเต่ต้องเจอพิษ COVID-19 จึงไม่อาจฝ่าวิกฤตนี้ไปได้

“แม้จะพยายามทำทุกอย่างเเล้ว แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือก” Mark Anderson ซีอีโอของ Flybe ส่งจดหมายเเจ้งต่อพนักงาน

ธุรกิจการบินกำลังเผชิญปัญหาหนัก จากผลกระทบของการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่ทำให้เที่ยวบินเกือบทั้งหมดถูกยกเลิก ผู้คนถูกเตือนไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศ หรือเเม้จะต้องหลีกเลี่ยงเดินทางไปสนามบิน

ก่อนหน้านี้ สายการบิน Flybe กำลังพยายามจะฟื้นฟูธุรกิจเเละลดต้นทุนการใช้จ่าย หลังเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ก็มีการทุ่มเงินกว่า 30 ล้านปอนด์ (ราว 1.2 พันล้านบาท) เพื่อเข้ามาพยุงธุรกิจทีมีอัตราการขาดทุนเฉลี่ยปีละ 20 ล้านปอนด์ (ราว 800 ล้านบาท) อีกทั้งยังขอกู้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ 100 ล้านปอนด์ (ราว 4 พันล้านบาท) เเต่ก็ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้

สำหรับ Flybe มีฐานให้บริการขนาดใหญ่ทั่วภูมิภาคยุโรป ก่อตั้งในปี 1979 มีผู้โดยสารใช้บริการราว 8 ล้านคนต่อปี ครอบคลุมเส้นทางบินกว่า 80% ในสหราชอาณาจักรและมีเส้นทางให้บริการทั่วภูมิภาคยุโรปอีก 170 จุดหมาย

John Strickland ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางอากาศ ให้ความเห็นว่าตลาดการบินในภูมิภาคเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งกับทุกสายการบิน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Flybe ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินเพราะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทพยายามขยายธุรกิจไปเกินตัว”

แม้ว่าสายการบินนี้จะมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับสายการบินใหญ่อย่าง British Airways, Ryanair หรือ EasyJet แต่การสูญเสียผู้ประกอบการในภูมิภาคของสหราชอาณาจักร จะเป็น “หายนะ” ของการบินในประเทศเเละคนอังกฤษ เพราะบางเส้นทางมีแค่ Flybe เท่านั้นที่ให้บริการการบิน

ทั้งนี้ ผลกระทบของไวรัสโคโรนา มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างมาก เเม้สายการบินหลายเเห่งจะมีปัญหาทางการเงินอยู่เเล้ว เเต่ก็ทำให้ “สถานการณ์เเย่ลงมาก”

โดยยอดการจองตั๋วของสายการบิน Virgin Atlantic ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งล่าสุดบริษัทได้ประกาศจะลดค่าใช้จ่ายลง 20% เป็นเวลา 4 เดือน รวมถึงหยุดรับสมัครงานใหม่เเละให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับค่าจ้างได้

 

ที่มา : BBC , independent, Reuters