อินเดียปิดเมือง! สั่งระงับออกวีซ่า ห้ามต่างชาติเข้าประเทศ เพื่อสกัด COVID-19

Photo : Dibyangshu SARKAR / AFP

รัฐบาลอินเดีย ประกาศระงับออกวีซ่าเเละตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเเก่ “พลเมืองต่างชาติทุกประเทศ”
จนถึงวันที่ 15 เม.ย.นี้ พร้อมยกระดับมาตรการการกักตัว เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา COVID-19 หลัง WHO ประกาศเป็น “การรระบาดใหญ่ทั่วโลก”

กระทรวงต่างประเทศอินเดีย ออกเเถลงการณ์วันนี้ (12 มี.ค.) ว่าด้วยการะงับการออกวีซ่าท่องเที่ยวให้กับพลเมืองชาวต่างชาติทุกประเทศ ตั้งเเต่เวลา 12.00 น. (หรือ 19.00 น. ตามเวลาในไทย) ของวันศุกร์ที่ 13 มี.ค. จนถึงวันที่ 15 เม.ย.นี้ พร้อมด้วยการระงับตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว ในทุกช่องทางที่ผ่านดินเเดน ตามกำหนดวันเเละเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ จะมีการ “ยกเว้น” การออกวีซ่าและการตรวจลงตราให้กับนักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ และพลเมืองต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทโครงการคู่สัญญากับรัฐบาลอินเดียเท่านั้น

นอกจากนี้ ได้ยกระดับมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่มีประวัติเดินทางเยือนจีน อิตาลี อิหร่าน เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส สเปนเเละเยอรมนี นับตั้งเเต่วันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ซึ่งมาตรการครอบคลุมทุกคนทั้งพลเมืองอินเดียเเละชาวต่างชาติ รวมถึงจะมีการด่านตรวจตามจุดผ่านเเดนทุกจุด ทั้งทางบก ทางอากาศเเละทางทะเล

โดยเเนะนำชาวอินเดียที่อยู่อาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ควรเดินทางไปต่างประเทศ “ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม” ในช่วงนี้ เพราะจะต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ส่วนการรับพิจารณาคำร้องและอนุมัติบัตรประจำตัวชาวอินเดียโพ้นทะเล (OIC) ให้ระงับไว้ก่อน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลนิวเดลีได้ระงับวีซ่าท่องเที่ยวเเก่พลเมืองจีน เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่วนพลเมืองอิตาลี อิหร่าน เกาหลีใต้เเละญี่ปุ่น ที่ได้รับการอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยว ก่อนประกาศนี้ต้องให้ระงับไว้ก่อน ขณะที่พลเมืองชาติอื่นที่เข้าพำนักในอินเดียอย่างถูกต้องเเล้วสามารถอยู่ต่อได้จนครบกำหนด

การประกาศยกระดับควบคุมการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาลอินเดีย เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดหลัง องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลก และมีผู้ติดเชื้อกว่า 121,000 คน ทั้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4,300 คน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นอกประเทศจีนได้พุ่งพรวดขึ้น 13 เท่าตัวภายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา