ตำรวจซิดนีย์ปิดหาด Bondi หาดดังแห่งออสเตรเลีย หลังจากประชาชนหลายพันคนยังคงไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐในการเว้นระยะห่างทางสังคม พร้อมเตือนประชาชนว่ารัฐอาจปิดชายหาดอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหากยังไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
ชายหาด Bondi ทางตะวันออกของซิดนีย์ยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาพักอาบแดด และใช้ชีวิตตามปกติในร้านอาหารรวมถึงบาร์ริมหาด แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ในออสเตรเลียจะมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 874 ราย มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และภาครัฐได้แจ้งเตือนประชาชนให้เว้นระยะห่างจากกันอย่างน้อย 1.5 เมตร พร้อมขอความร่วมมือไม่ชุมนุมชนกลางแจ้งเกินกว่า 500 คนต่อสถานที่ไปแล้ว
พฤติกรรมของประชาชนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ ทำให้ในที่สุดรัฐนิวเซาธ์เวลส์ต้องปิดชายหาด Bondi เพื่อความปลอดภัย
David Elliott รัฐมนตรีด้านตำรวจและบริการฉุกเฉินของรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า ภาพของกลุ่มครอบครัวที่ยังคงเข้าห้องน้ำสาธารณะร่วมกันตามริมชายหาด เป็นภาพสะท้อนว่าชุมชนนี้ “ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง” ต่อสถานการณ์โรคระบาด
ด้าน Brad Hazzard รัฐมนตรีด้านสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าววว่า เขาเกรงว่า “อคติเพราะการคิดบวก” ของคนออสเตรเลีย โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนวัยรุ่น-วัยหนุ่มสาว จะทำให้สถานการณ์แย่ลง และเกรงว่าจะทำให้ประเทศไปสู่จุดเดียวกับประเทศอิตาลี ซึ่งขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตแซงหน้าประเทศจีนไปแล้ว
Social distancing in Bondi pic.twitter.com/UwgJFwhHiH
— Tom Steinfort (@tomsteinfort) March 20, 2020
ไม่ใช่แค่ออสเตรเลียที่มีปัญหากับการควบคุมให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ก่อนหน้านี้ประเทศอังกฤษไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนของตนในการหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชน จนในที่สุด Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต้องออกคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2020 ให้ผับ ร้านอาหาร และแหล่งพักผ่อนหย่อนใจต่างๆ ปิดเป็นการชั่วคราว
ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ร้องขอประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นพาหะนำเชื้อไปสู่ผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ (Spring Break) ทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนมากยังคงเดินทางท่องเที่ยวและปาร์ตี้ตามปกติ จนรัฐฟลอริดา จุดหมายปลายทางยอดฮิตของกลุ่มนักศึกษา ต้องทยอยออกคำสั่งปิดหาดและผับบาร์เร่งด่วน