ปัจจุบัน ผู้คนทั่วโลกหันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะกับการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ที่มีความสะดวกและรวดเร็วตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัล
เช่นเดียวกับ “ออสเตรเลีย” ที่ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่สนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล โดยมีการเข้าร่วมกับประเทศต่างๆ ตั้งแต่สเปนไปจนถึงเดนมาร์ก ข้อมูลของธนาคารกลางแสดงให้เห็นว่า อัตราการใช้ธนบัตรสําหรับการทําธุรกรรมมีการลดลง
ในขณะเดียวกัน มูลค่าของธุรกรรมกระเป๋าเงินมือถือ (E-Wallet) ในออสเตรเลียเติบโตที่ 93,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (60,000 ล้านดอลลาร์) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก 746 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในปี 2018 เพิ่มขึ้นมากกว่า 12,000% ตามการวิเคราะห์โดย RBA
Jim Chalmers รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออสเตรเลีย กล่าวว่า แม้การทำธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลจะเพิ่มขึ้น แต่ยังมีชาวออสเตรเลียกว่า 1.5 ล้านคนยังคงใช้เงินสดในการทำธุรกรรมทางการเงินมากกว่า 80% แต่จํานวนธุรกิจร้านค้าที่รับการชำระเงินแบบเงินสดกลับมีน้อยลง
แต่เงินสดก็เป็นทางเลือกสำรองที่เข้าถึงได้ง่ายในช่วงที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและเหตุขัดข้องทางออนไลน์ ทำให้รัฐบาลฯมีการหารือและต้องการทําให้แน่ใจว่า ประชาชนจะยังสามารถใช้จ่ายซื้อสิ่งของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตได้ ภาคธุรกิจร้านค้าต่างๆ ทั่วออสเตรเลียจึงจำเป็นจะต้องยอมรับการชำระเงินสดสำหรับสินค้าจำเป็น เช่น ของชำและเชื้อเพลิง โดยอาจได้รัการยกเว้นในบางกรณีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อกําหนดทางกฎหมายสําหรับธุรกิจในออสเตรเลียที่จะต้องรับการชำระเงินแบบเงินสด โดยรายละเอียดสุดท้ายของคำสั่งดังกล่าว จะประกาศให้ทราบภายในปี 2025 และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2026 เป็นต้นไป
อีกทั้งรัฐบาลฯ มีแผนจะหยุดออกเช็คภายในเดือนมิถุนายน 2028 โดยจะให้ลูกค้ารวมถึงธุรกิจต่างๆ ปรับตัวให้เข้ากับวิธีการชำระเงินแบบอื่น และจะหยุดรับเช็คภายในเดือนกันยายน 2029
ที่มา : Bloomberg