นายใหญ่แห่ง Index Creative Village บริษัทอีเวนต์ยักษ์ใหญ่ ได้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการเปิดบริการพ่นฆ่าเชื้อโรค ล่าสุดได้เปิดตัวเฟรนไชส์ KILL & KLEAN เปิดใจ “ไม่ได้ทำเพื่อหนีตาย” ยอมรับงานอีเวนต์กว่าจะฟื้นตัวต้องรอถึงเดือนตุลาคม
ไม่ได้หนีตาย แต่มีโมเดลชัดเจน
เมื่อวิกฤต COVID-19 ทำเอาธุรกิจ “อีเวนต์” ต้องหยุดชะงักทั้งหมด ทำให้ Index Creative Village ต้อง Diversify ธุรกิจครั้งใหญ่ในการแตกไลน์บริการพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อตามบ้าน หรืออาคารสำนักงาน จนล่าสุดได้ขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างจังหวัดเพิ่มเติม
บริการนี้ได้ทำตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ KILL & KLEAN ผู้นำเทคโนโลยีเพื่อปกป้องคุณและคนที่คุณรัก เปิดให้บริการพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อ โดยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัดและตู้อบเด็กทารกแรกเกิด, น้ำยา Food Grade ที่ใช้ทำความสะอาดในสายการผลิตอาหารเพื่อส่งออก และน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในอุตสหกรรมการบิน
นายใหญ่ของอินเด็กซ์ฯ ได้เปิดใจถึงการทำธุรกิจครั้งนี้เลยว่า ไม่ได้เป็นการหนีตายเพิ่มเอาตัวรอดแต่อย่างใด แต่มาบุกธุรกิจนี้เพราะมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน
เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
“แม้ตอนนี้จะมีผู้เล่นมาจับตลาดพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างในตลาดอยู่โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียมที่ลูกค้าต้องการแบรนด์ที่ไว้วางใจ หลายคนมองว่าเรามาทำธุรกิจนี้เพื่อความอยู่รอด จริงๆ แล้วเราไม่ได้กระโดดลงมาเล่นแบบหนีตาย แต่กระโดลงมาแบบพร้อมทุกอย่าง ทั้งโมเดลธุรกิจ และเทคโนโลยี มีการวางแผนในการบุกประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติมด้วย”
เปิดแฟรนไชส์ คืนทุนเร็ว
หลังจากเปิดตัวบริการได้ไม่นาน ตอนนี้อินเด็กซ์พร้อมขยายแฟรนไชส์ เปิดรับเพียงแค่ 75 รายทั่วประเทศ มีทั้งหมด 3 แพ็กเกจ ได้แก่ S ลงทุน 200,000 บาท, M ลงทุน 250,000 บาท และ L ลงทุน 300,000 บาท โดยจะพิจารณาจากศักยภาพของแต่ละจังหวัดว่าเหมากับแพ็กเกจไหน
เกรียงไกรบอกว่า การันตีว่าสามารถคืนทุนภายใน 1 เดือน เพราะภายใน 1 วันสามารถพ่นฆ่าเชื้อโรคได้ 47 จุด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด หรือสำนักงาน
ตอนี้มีพาร์ตเนอร์ตอบรับเข้าร่วมธุรกิจเฟรนไชส์ KILL & KLEAN ในภาคเหนือแล้ว ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ มีทั้งหมด 75 สาขา เป็นมูลค่า 20 ล้านบาท
สุขอนามัย จะกลายเป็น New Normal ต่อไปในอนาคต
เกรียงไกรยังบอกอีกว่า ธุรกิจนี้น่าจะยังอยู่ไปอีกยาว เพราะเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด เรื่องสุขอนามัยจะอยู่กับคนไทย และคนทั่วโลกไปอีกนาน และจะกลายเป็น New Normal หรือบรรทัดฐานใหม่ในการใช้ชีวิตไปเลยก็ได้
“นี่คือ New Normal ที่จะเกิดขึ้น ต่อไปทุกห้างฯ จะต้องมีประตูสำหรับฆ่าเชื้อโรค น้ำยาที่ใช้จะต้องไม่ทำอันตรายต่อคนเดินผ่านด้วย”
เกรียงไกรมั่นใจว่าแฟรนไชส์จะมีลูกค้ารองรับอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าของอินเด็กซ์ฯ อยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดที่ให้บริการแค่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่สามารถให้บริการพื้นที่ต่างจังหวัดได้ ยกตัวอย่าง ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารออมสิน ไทยประกันชีวิต องค์กรเหล่านี้มีสาขาทั่วประเทศ และอินเด็กซ์ยังสนับสนุนเรื่องการตลาดด้วย
ในอนาคตพร้อมขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม
ธุรกิจอีเวนต์คาดกลับมาตุลาคม
ส่วนธุรกิจอีเวนต์ที่เป็นธุรกิจหลักของอินเด็กซ์ฯ มีการประเมินว่าจะกลับมาดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างเร็วที่สุดก็ช่วงเดือนตุลาคม แต่อย่างช้าที่สุดก็ต้องไปนับ 1 ใหม่ช่วงต้นปี 2564
โดยที่อีเวนต์แบบ “ไฮบริด” เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เป็นส่วนผสมของงานออฟไลน์ และออนไลน์ มีไลฟ์สดเพิ่มเติม แต่งานที่คนเยอะๆ คงยังไม่กลับมาฟื้น
“โรงแรม ท่องเที่ยว ร้านอาหาร อีเวนต์ ยังไงก็สลบยาว” เกรียงไกรปิดท้าย