NASDAQ เตรียมถอนร้านกาแฟ Luckin ออกจากตลาดหุ้น เซ่นคดีปั้นตัวเลขยอดขายเกินจริง

(Photo: AFP)
ไม่รอด! Luckin Coffee ร้านกาแฟชื่อดังคู่แข่ง Starbucks ในประเทศจีน กำลังจะถูกถอดออกจากตลาดหุ้น NASDAQ สหรัฐฯ หลังถูกจับได้ว่าปลอมแปลงข้อมูลการเงินต่อสาธารณะ แต่งตัวเลขยอดขายเกินจริง

ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะถอนหุ้น Luckin Coffee ออกจากตลาด ทั้งที่เพิ่งเปิด IPO ไปเมื่อปีก่อน เนื่องจาก Luckin Coffee ถูกตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลทางการเงิน

โดยบริษัทได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากตลาดหุ้น NASDAQ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2020 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีความประสงค์ที่จะถอนหุ้นของบริษัทออกจากตลาด”

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจากตลาดหุ้นกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะเกิด “ผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ” หลังช่วงที่ผ่านมา บริษัท Luckin Coffee ถูกเปิดโปงการปลอมแปลงข้อมูลธุรกรรมทางการเงินจากพนักงานภายในของบริษัทเอง รวมกับความผิดพลาดในอดีตที่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลการดำเนินงานที่เพียงพอแก่สาธารณชน

ฟากบริษัท Luckin Coffee ยังคงต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นบริษัทมหาชนต่อไป โดยยื่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้ว และระหว่างนี้บริษัทจะยังคงสถานะอยู่ในตลาดหุ้น แต่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้มาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2020 ส่วนขั้นตอนการรับฟังคำอุทธรณ์ ปกติมักจะนัดไต่สวนภายใน 45 วันหลังยื่นเรื่อง

กาแฟพันธุ์สตาร์ทอัพที่เติบโตมาจากการทุ่มตลาด ลงทุนโฆษณาสร้างกระแส ขยายสาขาเร็วเพื่อเบียดคู่แข่ง (Photo : Luckin Coffee)

ราคาหุ้นของบริษัทร่วงหนัก 83% เหลือเพียง 4.39 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ในวันที่ 2 เมษายน 2020 หลังบริษัทประกาศปลด หลิว เจียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ออกจากตำแหน่ง เซ่นข่าวการปลอมแปลงข้อมูลที่หลุดออกมา

ข้อมูลปลอมที่เกิดขึ้น มาจากการรายงานยอดขายเกินจริงไป 310 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ปี 2019 ซึ่งเป็นตัวเลขถึงครึ่งหนึ่งจากเป้าหมายยอดขาย 732 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่บริษัทประกาศเมื่อช่วงต้นปี 2019 โดยเริ่มมีข่าวหลุดออกมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 บริษัทได้ปฏิเสธข่าวไปก่อน แต่เมื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทแล้วพบว่ามีการปลอมแปลงจริง นำมาสู่การปลดซีโอโอและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา

Luckin Coffee เป็นปรากฏการณ์สตาร์ทอัพที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะเพิ่งก่อตั้งในปี 2017 และเติบโตอย่างรวดเร็วขยายไปถึง 3,500 สาขาทั่วโลก (พร้อมมีข่าวว่าจะเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วย) ในที่สุดบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2019 ก่อนจะถูกตรวจพบกลโกงในเวลาไม่ถึงปี

Source: SCMP, Business Insider