อินโดฯ ผุดไอเดียดัดนิสัยคนแหกกฎช่วง COVID-19 “ประจานชื่อลงเน็ต-จับขังบ้านผีสิง”

Photo : AFP
เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียดัดนิสัยผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโรคในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วยการให้ท่องโองการจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน, ขึ้นชื่อประจานบนสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงบทลงโทษแปลกๆ อย่างการจับไปขังไว้ใน “บ้านผีสิง”

รัฐบาลอินโดนีเซียได้ส่งทหารราว 340,000 นายลงพื้นที่ในกว่า 20 เมืองใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อดูแลการบังคับใช้มาตรการสกัดกั้นการแพร่เชื้อ COVID-19 เช่น การสวมหน้าอนามัยในที่สาธารณะ แต่ก็มีผู้นำจังหวัดบางคนที่พยายามคิดค้นวิธีการใหม่ๆ มาต่อสู้โรคระบาด

ตำรวจใน จังหวัดเบิงกูลู (Bengkulu) ได้ตั้งทีมเฉพาะกิจ 40 นายคอยตรวจตราพวกที่ฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโรค และบังคับให้แขวนป้ายห้อยคอซึ่งเขียนคำสัญญาว่าจากนี้ไปจะสวมหน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่างจากผู้อื่น จากนั้นก็จะนำภาพของผู้ฝ่าฝืนเหล่านี้ไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อให้เกิดความละอายใจ

มาร์ตินาห์ หัวหน้าสำนักงานควบคุมความสงบเรียบร้อยในจังหวัดเบิงกูลู ให้สัมภาษณ์ “ประชาชนในเบิงกูลูไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยและการงดรวมตัวกัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาและครอบครัว”

แต่ชาวบ้านบางคนวิจารณ์บทลงโทษของตำรวจว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่

ฟีร์มานชาห์ ซึ่งมีอาชีพทำประมง เล่าว่าเขาเคยถูกตำรวจสั่งลงโทษเนื่องจากไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะออกเรือหาปลา

“ให้สวมหน้ากากตอนออกทะเล…ตลกสิ้นดี ไม่ได้มีกฎให้ใส่หน้ากากในน้ำเสียหน่อย ถ้ามีผมก็คงทำแล้วล่ะ”

Photo : AFP

ห่างออกไปทางตอนเหนือที่ จังหวัดอาเจะห์ ผู้ละเมิดกฎด้านสาธารณสุขถูกบังคับให้ท่องโองการจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน ยกเว้นเฉพาะคนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม

ส่วนที่ กรุงจาการ์ตา มีการออกกฎใหม่ในเดือนนี้ให้ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมไปทำความสะอาดสถานที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำ และต้องสวมเสื้อกั๊กประจานตนเองว่าเป็นผู้ไม่เคารพกฎ

ที่เขตสราเกน (Sragen) ในจังหวัดชวากลาง ตำรวจส่งตัวผู้ที่แหกกฎช่วง COVID-19 ไปขังไว้ตามบ้านร้างที่คนในชุมชนเชื่อว่ามีผีสิง ซึ่งเป็นบทลงโทษที่อาศัยความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอันเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมพื้นบ้านแดนอิเหนา

จากข้อมูลล่าสุดวันที่ 29 พ.ค. อินโดนีเซียซึ่งมีประชากร 260 ล้านคนพบผู้ป่วย COVID-19 สะสมประมาณ 24,500 ราย เสียชีวิตแล้ว 1,496 ราย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ายอดผู้เสียชีวิตจริงอาจสูงกว่าที่รัฐบาลประกาศหลายเท่า เนื่องจากอัตราการตรวจหาเชื้อต่อหัวประชากรยังคงต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

Source