จากข้อมูลของบริษัท เน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่าช่วงโควิด-19 ลูกค้าที่มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมอยู่แล้ว หันมาตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวลดลงกว่าภาวะปกติโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่มีเกณฑ์ในการเลือกลงทุนที่สำคัญ คือ ราคาต้นทุนห้องที่ไม่สูง สามารถปล่อยเช่าได้เร็ว และมีผลตอบแทนที่ดีซึ่งคอนโดมิเนียมลีสโฮลด์ในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้าสนใจมากที่สุด
วันนี้ เน็กซัสมีข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนระยะยาวมาฝากเพิ่มเติมด้วย
ก่อนอื่น เราคงต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่าคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold)และคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold)นั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) คือ คอนโดมิเนียมประเภทสิทธิการเช่าที่ถือครองกรรมสิทธิ์ ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดส่วนคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) คือ คอนโดมิเนียมประเภทซื้อขาดโดยการครอบครองกรรมสิทธิ์เป็นของผู้ซื้อโดยถาวร โดยคอนโดมิเนียมประเภทลีสโฮลด์ (Leasehold) มักจะตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ CBD อาทิ ราชดำริ ปทุมวัน หลังสวนสีลม สาทร พระราม 4 ซึ่งเมื่อตีวงเฉพาะในย่านนี้จะพบว่าปัจจุบันมีโครงการที่เป็นคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ถึง 25 โครงการ โดยปิดการขายไปแล้ว 21 โครงการ และยังคงเหลือขายอยู่เพียง 4 โครงการ เท่านั้น โดยความน่าสนใจที่สุด คือ ระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ส่วนใหญ่จะถูกกว่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ถึง 30-40% เนื่องจากสิทธิ์ในการครอบครองมีจำกัดตามแต่อายุสัญญาที่ผู้พัฒนาโครงการได้รับสิทธิ์จากเจ้าของที่ในการดำเนินการพัฒนาโครงการ
สำหรับคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง และ มีราคาต่ำกว่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ทำให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนปล่อยเช่าหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากจะสามารถปล่อยเช่าห้องได้ทันทีและต่อเนื่องแล้ว ผู้ลงทุนยังได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าโดยพบว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปล่อยเช่าห้องที่เป็นโครงการลีสโฮลด์ (Leasehold) สูงถึง 6.2% ต่อปี
จากข้อมูลที่เน็กซัสได้ทำการเก็บข้อมูลมานั้นพบว่า การปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทน (Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4.5%ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งโครงการด้วย ขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) จะเห็นว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าโดยตัวเลขล่าสุดที่ได้ทำการเก็บข้อมูลมานั้น ได้แก่ โครงการทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ (Triple Y Residence) สามารถสร้างผลตอบแทน (Yield) ให้นักลงทุนได้สูงสุดถึง 8.6% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารในปัจจุบัน เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield) เพียง 1.2% ต่อปี จะเห็นได้ว่าการลงทุนในคอนโดมิเนียมได้ผลตอบแทนสูงกว่ามาก
โดยทั่วไปการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมยังมีความปลอดภัยในการลงทุน เนื่องจากสามารถเก็บเป็นทรัพย์สินได้และผลตอบแทนด้านการลงทุนนั้น ยังได้ในเรื่องของกำไรจากการขายต่อ หรือ Capital Gain ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับเมื่อขายห้องได้ ยกตัวอย่างเช่น โครงการลีสโฮลด์ (Leasehold) บางโครงการบริเวณสามย่าน สามารถลบล้างความเชื่อเรื่องราคาลดลงเมื่อระยะเวลาการเช่าลดลงได้เป็นอย่างดี โดยโครงการเปิดขายในปี 2555 ด้วยราคาขาย 52,000 บาท/ตร.ม. และปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 82,000 บาท/ตร.ม.ด้วยระยะเวลาเพียง 8 ปี ราคาต่อตารางเมตรเติบโตขึ้นถึง 57% และเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการฟรีโฮลด์ (Freehold) ย่านเดียวกัน ที่เปิดขายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ปัจจุบันราคาขายต่อตารางเมตรก็เพิ่มขึ้นถึง 20% โดยราคาคอนโดแต่ละทำเลจะมีราคาเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ฟรีโฮลด์ (Freehold) หรือ ลีสโฮลด์ (Leasehold) แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ต้นทุนที่เราลงทุนไป และสิ่งที่ได้คือกลับมานั่นเอง
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการพิจารณาเลือกซื้อคอนโดมิเนียมประเภทลีสโฮลด์ (Leasehold)ถือเป็นทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าที่ต้องการลงทุนระยะยาว นั่นเอง
สรุปข้อดีของการซื้อคอนโดมิเนียมประเภทลีสโฮลด์ (Leasehold)
1)ราคาที่ขายให้กับผู้เช่าซื้อนั้นจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) หมายความว่า บนพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น หากโครงการที่เราต้องการซื้อเป็นโครงการประเภทลีสโฮลด์ (Leasehold) ซึ่งขายในราคา 3,600,000 บาท อีก 1 โครงการ ที่เป็นฟรีโฮลด์ (Freehold) ข้างๆ อาจจะขายในราคาถึง 6,000,000 บาท เพราะว่าราคาต้นทุนที่ดินที่ต่างกัน โดยเราสามารถนำเงินส่วนต่างอีก 2,400,000 บาท ไปลงทุนประเภทอื่นได้
2)ทำเลที่ตั้งโครงการ สำหรับโครงการที่เป็น ลีสโฮลด์ (Leasehold) จะเป็นโครงการที่อยู่ใน CBD ซึ่งปัจจุบันที่ดินกลางเมืองมีน้อยลงไปทุกวัน ทำให้มั่นใจได้ว่าหากคุณเลือกลงทุนในโครงการลีสโฮลด์ (Leasehold) จะเป็นโครงการที่อยู่ในPrime location อย่างแท้จริง
3)ฟังก์ชั่นห้องตอบโจทย์ลูกค้า เนื่องจากต้นทุนไม่สูงทำให้ออกแบบห้องได้กว้างขวาง และมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นตามไปด้วย ข้อดี คือ หากต้องการปล่อยเช่าก็จะสามารถเรียกราคาค่าเช่าได้สูงกว่าห้องขนาดเล็ก หรือมีโอกาสในการปล่อยเช่าได้มากกว่า หรือ หากอยู่เองก็จะสะดวกสบายเป็นสัดส่วนมากกว่า
4)ผู้ประกอบการ ที่จะได้พัฒนาโครงการบนพื้นที่ ลีสโฮลด์ (Leasehold) นั้นต้องเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง มีชื่อเสียงมานาน และมีความน่าเชื่อถือ
5)การดูแลหลังการขายโดยผู้ประกอบการเองซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะโครงการจะยังคงสวยงาม และได้รับการดูแลอย่างดีตลอดอายุสัญญา
6) ต่างชาติสามารถถือครองได้ 100%เนื่องจากเป็นสิทธิ์การเช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อมีการขายต่อไม่ต้องกังวลว่าสิทธิ์ของต่างชาติจะเต็ม