ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด COVID-19 แบรนด์ค้าปลีกรายใหญ่ของโลกอย่าง ‘Walmart’ ได้ระบุว่าบริษัทต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าทั่วไป เช่น ‘เสื้อผ้า’ เพื่อพยายามเปลี่ยนอีคอมเมิร์ซให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ แต่หลังจากที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ขึ้น Walmart เลยมีโอกาสในการคว้าส่วนแบ่งการตลาดในเครื่องแต่งกายไปแบบงง ๆ ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19
เป็นที่รู้กันว่าช่วง COVID-19 ส่งผลต่อ อุตสาหกรรมแฟชั่น เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านเพื่อลดการระบาดของเชื้อ ส่งผลให้เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่จำเป็น’ ต้องซื้อใหม่ (เพราะไม่รู้จะใส่ออกไปไหน) ซึ่งนั่นทำให้ผู้ค้าปลีกเครื่องแต่งกายรายใหญ่หลายรายต้องปิดตัวลง เช่น แบรนด์ J.C. Penney และ Neiman Marcus ที่ยื่นล้มละลาย ส่วนแบรนด์ Macy’s และ Kohl’s ก็มีรายได้ลดลง
ขณะที่ข้อมูลของ McKinsey and Company ระบุว่ารายได้ของอุตสาหกรรมค้าปลีกและธุรกิจเครื่องแต่งกายจะลดลง 20-30% ทั่วทั้งอุตสาหกรรมในปีนี้ และลดอีก 10-25% ในปี 2021 แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ค้าปลีกจำนวนมากเช่น Walmart และ Target คาดว่าจะเห็นรายได้จากเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 10-20% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“พวกเขาได้รับส่วนแบ่งดังกล่าวจากการที่ห้างร้านที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นปิดตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของร้านค้าแบบครบวงจร เพราะพวกเขากำลังซื้อเครื่องแต่งกายในเวลาเดียวกับที่พวกเขาจะไปรับสินค้าที่จำเป็น” Althea Peng ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นเครื่องแต่งกายและงานหรูหราของ McKinsey ในอเมริกากล่าว
ด้วยความตั้งใจที่จะรุกตลาดแฟชั่นมากขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 และเมื่อเกิดการระบาด คู่แข่งก็พากันล้มหายตายจากไปอีก Walmart เลยถือโอกาสทำข้อตกลงกับ ThredUp แพลตฟอร์มขายสินค้ามือสอง ในการนำสินค้ามือสองในกลุ่มแฟชั่นมาขายบนเว็บไซต์ และล่าสุด Walmart ก็ได้เปิดตัวแบรนด์แฟชั่น ‘Free Assembly’ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่จะขายทั้งทางออนไลน์และในร้านค้า 250 แห่ง
แบรนด์ดังกล่าวได้ Dwight Fenton อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Bonobos และผู้คร่ำหวอดในแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ J. Crew, Vineyard Vines และ Old Navy มาเป็นผู้ออกแบบสินค้า โดยเขากล่าวว่า เสื้อผ้าที่เขาออกแบบนั้นให้รู้สึกเหมือนกับ “ชิ้นส่วนที่คุ้นเคยและอยู่เหนือกาลเวลา” ซึ่งลูกค้าสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์กับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตู้เสื้อผ้าของพวกเขาได้ นอกจากนี้ แบรนด์จะมีความหลากหลายมาก โดยครอบคลุมกลุ่มอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ราคาเริ่มตั้งแต่ 9-45 ดอลลาร์สหรัฐ (280-1,400 บาท)
อย่างไรก็ตาม แม้ Walmart จะมีโอกาสใหม่ในการชิงส่วนแบ่งการตลาดจากร้านค้าปลีกเครื่องแต่งกายเช่น J.C. Penney ที่ฟ้องล้มละลาย และอื่น ๆ เช่น Kohl’s และ Macy’s ที่มียอดขายลดลงเพราะพิษ COVID-19 แต่ Walmart ยังคงต้องพิสูจน์ว่าสามารถตอบสนองรสนิยมของผู้บริโภคซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนในโลกของแฟชั่นได้หรือไม่