เมื่อไตรมาส 2 ของปี ‘หัวเว่ย’ (Huawei) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของโลก โดยมียอดจัดส่งสมาร์ทโฟนสูงถึง 55.8 ล้านเครื่อง ขณะที่อดีตเบอร์ 1 อย่าง ‘ซัมซุง’ (Samsung) มียอดจัดส่งที่ 53.7 ล้านเครื่อง
แต่ดูเหมือนว่าในไตรมาส 3 นี้ ซัมซุงจะเริ่มฟื้นตัว โดยสามารถทำรายได้ 66 ล้านล้านวอน หรือราว 1.79 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบปีต่อปี และเมื่อรวมรายได้ทั้ง 3 ไตรมาสของปีนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะทำกำไรถึง 12.3 ล้านล้านวอน หรือราว 3.32 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ 26% และถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปี
สำหรับการเติบโตในไตรมาส 3 นั้น เป็นผลมาจากยอดขายสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเพิ่มขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะส่งต่อไปยังปีหน้า เนื่องจากความต้องการสมาร์ทโฟน 5G ที่กำลังเพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของตลาดในการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้ร้านค้าปลีกปิดตัวลง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนไปในตัว นอกจากนี้ บริษัทยังจัดหาชิ้นส่วนสำคัญเช่นแผงแสดงผลและชิปหน่วยความจำสำหรับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่น เช่น Apple รวมถึงหัวเว่ยเอง
“เนื่องจากผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกยังคงทำงานเล่นเกมและชมภาพยนตร์จากที่บ้าน ส่งผลให้ธุรกิจชิปหน่วยความจำยังเติบโต แต่ในอนาคตประกอบการที่ได้อาจลดลง เนื่องจากราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว” SK Kim นักวิเคราะห์จากบริษัท Daiwa กล่าว
นอกจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นแล้ว หัวเว่ยกำลังได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่บีบไม่ให้ซัพพลายเออร์ด้านชิปของสหรัฐฯ ทำธุรกิจกับหัวเว่ย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ซัมซุงผ่อนคลายลง ทั้งนี้ สาเหตุที่หัวเว่ยแซงซัมซุงก้าวขึ้นเบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนโลก เนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่ของหัวเว่ยอยู่ในประเทศจีนซึ่งฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ