สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ต.ค. สตาร์บัคส์รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของรอบบัญชีระยะ 13 สัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 27 ก.ย. 2020 พบว่ามีรายได้สุทธิรวม 6,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.93 แสนล้านบาท) ลดลง 8% จากปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่หายไปจากการระบาดของ COVID-19
กำไรต่อหุ้นที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (Non-GAAP) ของสตาร์บัคส์ อยู่ที่ 0.51 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 0.70 ดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนรายรับสุทธิรวมทั้งปีอยู่ที่ 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 11.3% จากปีก่อน
ยอดขายจากสาขาเดิม (comparable store sales) ในไตรมาส 4 ลดลง 9% ในสหรัฐอเมริกา และลดลง 3% ในจีน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ในสหรัฐอเมริกา บริษัทปิดยอดในไตรมาสนี้ด้วยยอดขายจากสาขาเดิมที่ลดลง 4% ในเดือนกันยายน ซึ่งนับว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากเคยลดลงถึงราว 60% ขณะเผชิญภาวะโรคระบาดเมื่อ 5 เดือนก่อน โดยในไตรมาสที่ 4 ปริมาณการขายในสหรัฐฯ ประมาณ 75% มาจากการสั่งซื้อแบบไดรฟ์ทรู และการสั่งซื้อทางโทรศัพท์
นอกจากนี้ จำนวนสมาชิกสตาร์บัคส์ รีวอร์ดก็กลับมาเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยขณะนี้มีสมาชิกอยู่ที่ 19.3 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา
ในไตรมาสที่ 4 สตาร์บัคส์เปิดสาขาใหม่รวม 480 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมมีร้านค้า 32,660 แห่งทั่วโลก ซึ่ง 51% เป็นสาขาที่ดำเนินกิจการเอง ส่วนอีก 49% เป็นการขายสิทธิ์
ร้านสาขาของสตาร์บัคส์ในสหรัฐฯ และจีนครองสัดส่วน 61% ของร้านสาขาในทั่วโลก โดยในสหรัฐฯ มี 15,337 ร้าน และในจีนมี 4,706 ร้าน