เจาะลึกสงคราม ‘คอนโซล’ เมื่อ ‘Microsoft’ มองไกลกว่าแค่เอา ‘Xbox’ มาชนตรงกับ ‘Ps5’

ถือเป็นสงครามที่ยาวนานของ ‘Sony (โซนี่)’ และ ‘Microsoft (ไมโครซอฟท์)’ กับการปะทะกันของ ‘Play Station : Ps’ (เพลย์สเตชั่น) และ ‘Xbox’ (เอ็กซ์บ็อกซ์) ซึ่งผู้ที่กำชัยมาโดยตลอดก็คือ Sony โดยตั้งแต่ที่ ‘Xbox One’ วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2013 จนถึงต้นปี 2020 สามารถทำยอดขายได้เพียง 41 ล้านเครื่องหรือเพียง ‘ครึ่งเดียว’ ของ ‘Ps4’ ที่มียอดขายถึง 91 ล้านเครื่อง แต่ในสงครามของ ‘Xbox Series X’ และ ‘Series S’ ใหม่ที่ขอท้าชน ‘Ps5’ ครั้งนี้ดูเหมือน Microsoft จะไม่ได้โฟกัสที่จำนวนยอดขาย แต่มองไปไกลกว่านั้น

เครื่องแรงแต่ไม่มีเกม Exclusive

การแพร่ระบาดทำให้ผู้คนมีเวลาว่างในการเล่นเกมมากขึ้น นักเล่นเกมอาจติดยาเสพติดไปอีกหลายปีซึ่งหมายถึงธุรกิจขนาดใหญ่สำหรับทั้ง 2 บริษัท โดยส่วนของ Gaming คิดเป็น 24% ของรายได้ทั้งหมดของ Sony และคิดเป็น 8% ของรายได้ของ Microsoft แต่ Microsoft เป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสามรองจาก Apple และ Saudi Aramco เท่านั้น ซึ่งความสำเร็จในการเล่นเกมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นจำนวนมาก

ล่าสุด Microsoft และ Sony เปิดตัวเครื่องเล่นวิดีโอเกมใหม่ในสัปดาห์นี้ โดย Microsoft มี Xbox Series X ราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ และ Series S ราคา 300 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Sony มี PlayStation 5 สองรุ่นเริ่มต้นที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเครื่องคอนโซลของทั้ง 2 แบรนด์ถือเป็นคอนโซลรุ่นล่าสุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว
อย่างที่รู้กันว่า Ps4 ของ Sony สามารถทำรายได้อย่างถล่มทลาย เนื่องจากมีไม้ตายก็คือ ‘เกม Exclusive’ ที่ไม่มีให้บริการในระบบอื่น ๆ อาทิ ‘Uncharted 4’ ‘Horizon Zero Dawn’ และ ‘Spider-Man’ ส่วน Xbox One มีแค่ไม่กี่เกม อาทิ ‘Halo 5’

โดย Blackley Lewis Ward ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเกมของ IDC มองว่า Sony จะขายคอนโซล PlayStation 5 ได้มากถึง 5 ล้านเครื่องในปีนี้ ส่วน Microsoft ขายคอนโซล Xbox Series X และ S ได้ 3.8 ล้านเครื่อง ซึ่งความได้เปรียบยังมาจากเกม Exclusive

ยอดขายไม่สำคัญเท่า คนเล่น

อย่างไรก็ตาม Microsoft ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการเล่นเกมตั้งแต่เปิดตัว Xbox One โดย Phil Spencer รองประธานบริหารฝ่ายเกมของ Microsoft ซึ่งถือเป็น หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดแห่งวงการเกม กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Verge เมื่อปีที่แล้วว่า การวัดความสำเร็จจากการจัดส่งคอนโซลไม่สำคัญเท่ากับการมีส่วนร่วมรวมถึงจำนวนคนที่เล่นด้วย

ดังนั้น Xbox Series X และ S ใหม่แค่จะไม่มีเกม Exclusive พิเศษเหมือนครั้งที่แล้ว แล้ว Microsoft จะโดดเด่นอย่างไร? คำตอบคือ Xbox Game Pass ซึ่งเป็นบริการสมัครสมาชิกออนไลน์ที่ช่วยให้ลูกค้ามีเกมมากกว่า 100 เกมในมือในราคาเพียง 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 300 บาทต่อเดือน ขณะที่ Ps5 ก็มี ‘PlayStation Plus Collection’ ระบบ Subscription เกมที่ผู้ใช้ Ps5 เล่นเกม Exclusive PlayStation และเกม Third-Party ของ Ps4 ซึ่งแม้ราคาจะถูกกว่าครึ่ง (5 เหรียญต่อเดือน หรือราว 150 บาท) แต่จำนวนเกมก็น้อยกว่ามาก

กว้านซื้อสตูดิโอเกมไม่หยุด

ปัจจุบันฝ่ายเกมของ Microsoft ได้รับความสนุกสนานในการเข้าซื้อกิจการสตูดิโอพัฒนาเกมอย่างมาก โดยที่ผ่านมาได้ซื้อไปแล้วถึง 23 รายรวมถึง Bethesda กับ Zenimax ในมูลค่าถึง 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดมีข่าวว่า Microsoft เริ่มเข้าหาผู้พัฒนาเกมในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของ Nintendo และ Sony แล้ว ขณะที่ Sony เองมีสตูดิโอเกมในมือประมาณ 14 ราย

ปัจจุบัน นักลงทุนให้ความสำคัญกับยอดขายคอนโซลของ Microsoft น้อยลง เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วบริษัทได้เปิดตัวเมตริกใหม่ คือ การเติบโตของรายได้จากเนื้อหาและบริการของ Xbox ซึ่งรวมถึงการสมัครใช้บริการ Game Pass และบริการ Xbox Live

Keith Weiss และ Josh Baer นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley มองว่า ยอดขายคอนโซลที่สูงขึ้นไม่ได้ช่วยเรื่องการเงินของ Microsoft เสมอไป ยิ่ง Microsoft มีรายได้จากคอนโซลมากขึ้นในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทก็จะยิ่งลดลง ส่งผลให้ Microsoft ให้ความสำคัญกับการดึงสมาชิก Game Pass มากกว่าการขายคอนโซลซึ่งแตกต่างจาก Sony

“การจะมุ่งเน้นไปที่คอนโซลเพียงอย่างเดียวเป็นวิธีที่ไม่สมบูรณ์ในการประเมินอุตสาหกรรมเกมและจะเติบโตอย่างไรในอนาคต เนื่องจากนักพัฒนาที่ทำงานร่วมกับเราสามารถเข้าถึงเกมเมอร์ผ่านพีซี คอนโซลและมือถือ ด้วยระบบคลาวด์ และผู้เล่นใหม่ทุกคนที่เก็บเกมของพวกเขาก็มีตัวเลือกมากมายสำหรับวิธีการเล่น”

Source