เนื่องจากอุตสาหกรรมร้านอาหารกำลังปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น หลังจากที่ ‘Joe Biden’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในนโยบายของ Biden ก็คือ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง
ส่งผลให้ ‘สตาร์บัคส์ (Starbucks)’ เชนกาแฟรายใหญ่ของโลกกำลังเพิ่มค่าจ้างรายชั่วโมงให้กับบาริสต้า, หัวหน้างานกะ และพนักงานร้านกาแฟที่ทำอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยพนักงานที่ได้รับการว่าจ้างก่อนวันที่ 24 กันยายนจะได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ส่วนพนักงานที่มีอายุงานเกิน 3 ปีขึ้นไป จะปรับเงินอย่างน้อย 11% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของสตาร์บัคส์จะปรับเพิ่มขึ้น 5% ทั้งนี้ ค่าแรงที่ปรับขึ้นจะมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคมที่จะถึงนี้
สำหรับการขึ้นค่าแรงดังกล่าว จะช่วยให้สตาร์บัคส์มีแรงดึงดูดในการหาพนักงานได้ง่ายขึ้น เพราะแม้ว่าอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ จะสูงขึ้น แต่งานภาคบริการถือเป็นส่วนที่เสี่ยงจะติดเชื้อ COVID-19 ที่ยังระบาดอยู่
อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์และการจ่ายเงินแก่พนักงานมากกว่าร้านค้าปลีกและเชนร้านอาหารระดับโลกอื่น ๆ ซึ่งหมายถึงสตาร์บัคส์จ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของอเมริกาอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมง (ราว 230 บาท) ขณะที่ค่าแรงของสตาร์บัคส์เริ่มต้นที่ 9-10 เหรียญ/ชั่วโมง (ราว 310 บาท)
ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างไม่ใช่แค่ทำเพื่อดึงดูดให้คนมาสมัครงาน แต่ยังเป็นการตอบสนองนโยบายของ Joe Biden ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในการปรับค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลให้สูงขึ้นจากที่ 7.25 เหรียญ/ชั่วโมง โดยหลายรัฐและเมืองต่าง ๆ กำลังดำเนินการเชิงรุกมากขึ้น โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐฟลอริดาได้รับการโหวตให้เพิ่มชั้นค่าแรงขั้นต่ำให้ถึง 15 ดอลลาร์/ชั่วโมงภายใน 6 ปีข้างหน้า และมีประมาณ 8 รัฐที่อนุมัติค่าจ้างขั้นต่ำที่ 15 ดอลลาร์/ชั่วโมงแล้ว