“แม้เศรษฐกิจโลกจะถดถอยลงเป็นอย่างมากอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เฮงเค็ลยังคงมีผลการดำเนินงานโดยรวมที่แข็งแกร่งในทุกหน่วยธุรกิจ ตลอดทั้งปี ผลประกอบการของเราอยู่ในอันดับต้นๆ ของคำแนะนำของเรา เราประสบความสำเร็จนี้ได้ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่สมดุล ความสำเร็จทางด้านนวัตกรรม และความแข็งแกร่งทางการเงิน ตลอดจนความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากของพนักงานของเราทั่วโลก ผมขอขอบคุณทุกคนสำหรับผลงานอันยอดเยี่ยมในปีที่ท้าทายอย่างแท้จริงนี้” นายคาร์สเทน โนเบิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฮงเค็ล กล่าว
“เราบันทึกยอดขาย 19,300 ล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนเพียงเล็กน้อยในแง่ยอดขายทั่วไป และยังคงรักษาธุรกิจที่ทำกำไรได้โดยมีส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) ที่ร้อยละ 13.4 นอกจากนี้เรายังสร้างกระแสเงินสดอิสระที่แข็งแกร่งเกิน 2,300 ล้านยูโร ซึ่งเกือบจะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา” นายโนเบิล กล่าวเพิ่มเติม
ตลอดทั้งปี หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวรายงานยอดขายที่ต่ำกว่าระดับของปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากอุตสาหกรรมหลัก อย่างไรก็ตาม ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่กว้างขวางและโซลูชั่นนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จทำให้ธุรกิจได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ยอดขายปกติ (organic sales) ในผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบอย่างมากจากธุรกิจร้านทำผมเนื่องจากมาตรการสั่งปิดของรัฐบาล ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกมีการเติบโตที่ดี สิ่งนี้ได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาแบรนด์ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ ตลอดจนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคหลัก
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขายเติบโตเป็นอย่างมากจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ที่ระดับกลุ่ม กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT) ลดลงร้อยละ -19.9 อยู่ที่ 2,600 ล้านยูโร ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) อยู่ที่ร้อยละ 13.4 ซึ่งต่ำกว่าปี 2562 ร้อยละ -2.6 กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (EPS) อยู่ที่ 4.26 ยูโร ลดลงร้อยละ -17.9 ณ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันเฮงเค็ลกำลังเร่งสร้างนวัตกรรมที่มีอิทธิพล เสริมสร้างความยั่งยืนซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง และผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของบริษัทฯ
ในปี 2563 เฮงเค็ลเพิ่มการลงทุนประมาณ 200 ล้านยูโรเมื่อเทียบกับปี 2562 (350 ล้านยูโรเมื่อเทียบกับปี 2561) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของบริษัทฯ การลงทุนดังกล่าวแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้เป็นครั้งแรก: เฮงเค็ลสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาดหลักและหมวดหมู่ต่างๆ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเร่งกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น ช่วยในการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในด้านสุขอนามัย การฆ่าเชื้อและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดด้วย “นวัตกรรมที่รวดเร็ว” โดยโฟกัสอยู่ที่แนวโน้มหลัก เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงเพื่อความสะดวกสบายที่สูงขึ้น
แนวโน้มปี 2564
“เมื่อเราเข้าสู่ปี 2564 เรายังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับสูงของการแพร่ระบาดว่าจะพัฒนาไปในทิศทางใด ความพยายามในการฉีดวัคซีนจะก้าวหน้าไปได้เร็วเพียงใด และจะส่งผลต่อข้อจำกัดต่างๆ ในแต่ละประเทศอย่างไร เราคาดการณ์ว่าความต้องการในภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของเรา โดยเฉพาะธุรกิจร้านทำผมจะฟื้นตัว ในขณะเดียวกันเราเชื่อว่าความต้องการของผู้บริโภคจะกลับคืนสู่ระดับปกติในหมวดหมู่ที่ความต้องการได้พุ่งสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้เรายังคาดการณ์ว่าข้อจำกัดต่างๆ ในปัจจุบันในตลาดสำคัญหลายแห่งจะถูกยกเลิกในช่วงไตรมาสแรกและจะไม่มีการปิดตัวลงอย่างกว้างขวางของธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงโรงงานผลิตในช่วงที่เหลือของปี” นายคาร์สเทน โนเบิล กล่าว
จากสมมติฐานเหล่านี้ เฮงเค็ลคาดว่าจะสร้างยอดขายและกำไรให้เติบโตในปีงบประมาณ 2564 บริษัทฯ คาดว่ายอดขายปกติ (organic sales) จะเติบโตร้อยละ 2.0 ถึง 5.0 และส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) อยู่ในช่วงร้อยละ 13.5 ถึง 14.5 สำหรับกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (EPS) ณ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เฮงเค็ลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 5.0 ถึง 15.0