“สิงห์ เอสเตท” เสริมแกร่ง ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% โรงงานผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง สยายปีกจากอสังหาฯ สู่พลังงาน


กลายเป็นการขยายธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ แต่เดิม “สิงห์ เอสเตท” ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” ใช้งบลงทุนกว่าพันล้าน ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ถือเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเต็มตัว คาดจะทำให้มีรายได้ปีละ 20,000 ล้านภายใน 3 ปี

อัดงบพันล้าน ซื้อหุ้น 30% ในโรงผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง

ก่อนหน้านี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหมวดไหน ย่อมเป็นธุรกิจขาขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน หรือที่อยู่อาศัย แต่ในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเร่งปฏิกิริยาความไม่แน่นอนของธุรกิจให้มากขึ้นด้วย

การขยายธุรกิจเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ จึงเป็นคำตอบที่สำคัญของยุคนี้ เพื่อเป็นการหาน่านน้ำใหม่ด้วย และกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างมาก เมื่อ “สิงห์ เอสเตท” ผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเครือของสิงห์คอร์เปอเรชั่น ได้ประกาศว่าได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

สำหรับโรงงานแห่งแรก เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า และพลังงานความร้อนร่วม ของ บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง ดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์

ส่วนแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2566 มีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์

การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจะเริ่มขึ้นเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า

“เราได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้น 3 เท่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี”

เสริมแกร่งธุรกิจกลุ่มที่ 4

แรกเริ่มเดิมทีนั้น สิงห์ เอสเตทประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นแกนหลัก ประกอบไปด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม

– ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563

– โรงแรม และรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ มีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด

– โครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด

ทราย ลากูน มัลดีฟส์ CURIO COLLECTION BY HILTON

แต่ในปี 2564 สิงห์ เอสเตทเตรียมก้าวสู่เฟสใหม่ของการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มธุรกิจที่ 4 เข้ามา เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน สามารถเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันภายในเครือได้ อีกทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก

โดยกลุ่มธุรกิจที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท เป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็ม และส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่นๆ

“เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่ อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน” นายจุตินันท์กล่าว

สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส

สร้างรายได้มั่นคงในระยะยาว

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าในครั้งนี้ของสิงห์ เอสเตทก็คือ ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์ด้วย โดยที่ไฟฟ้าเกือบ 70% ได้ถูกขายล่วงหน้าแล้ว เรียกว่าการันตีรายได้ได้อย่างแน่นอน

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า

“ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษ ที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่ง ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เรามีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์”

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับนั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือ การที่ไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้น ขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นราคาตามที่ตกลงกันแล้วด้วย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะสร้างรายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)”

อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น

ทางสิงห์ เอสเตทคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี 2567 เมื่อมีธุรกิจใหม่เข้ามา สามารถติดสปีดการเติบโตให้บริษัทถึง 3 เท่า สามารถมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาทได้ภายใน 3 ปี