“จีน” เปลี่ยนกฎอนุญาตมีลูกได้ 3 คน หลังทั้งประเทศเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

Photo : Shutterstock
พรรคคอมมิวนิสต์จีนแถลงว่า ได้เปลี่ยนนโยบายการควบคุมประชากรครั้งใหญ่ซึ่งทางพรรคจะอนุญาตให้แต่ละครอบครัวสามารถมีบุตรได้สูงสุด 3 คน โดยหวังว่าจะสามารถชะลอจีนก้าวไปสู่สังคมผู้สูงอายุที่จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

เอพีรายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้บังคับใช้กฎการมีบุตรมาตั้งแต่ปี 1980 เพื่อควบคุมการเพิ่มทางประชากรของประเทศ แต่ทว่าจากสาเหตุความกังวลจำนวนกลุ่มประชากรคนวัยทำงานในจีนลดลงอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่สัดส่วนกลุ่มประชากรอายุสูงกว่า 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ถือป็นภัยคุกคามต่อความฝันของจีนในการแปลงโฉมหน้าของประเทศ ให้กลายเป็นสังคมผู้บริโภคที่มั่งคั่ง และผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประชุมพรรคที่นำโดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการเสนอมาตรการรับมืออย่างท่วงทันต่อกลุ่มประชากรสูงวัย ในรายงานชี้ว่า สีเห็นด้วยต่อการใช้นโยบายอนุญาตให้แต่ละครอบครัวสามารถมีบุตรได้ 3 คนและมาตรการสนับสนุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางประชากรของจีน

ซินหัวกล่าวว่า บรรดาผู้นำของพรรคจีนต่างลงความเห็นให้เปลี่ยนข้อกำหนดการเกษียณอายุ เพื่อที่จะยังคงมีกำลังกลุ่มคนทำงานอยู่ในตลาดแรงงานต่อไป รวมไปถึงปรับปรุงเบี้ยเกษียณอายุ และบริการสาธารณสุขสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุทั้งหลาย

Photo : Shutterstock

เอพีชี้ว่า ข้อจำกัดการมีบุตรได้แค่ 1 คนในจีนถูกผ่อนปรนลงในปี 2015 ที่เปลี่ยนมาให้คู่สมรสสามารถมีบุตรได้ 2 คน แต่ทว่าตัวเลขอัตราการเกิดยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงกฎนั้นมีผลกระทบน้อยต่อแนวโน้มกระแสการไม่นิยมมีบุตรภายในประเทศ

คู่สมรสในจีนต่างกล่าวว่าปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นสำหรับการเลี้ยงดูลูก เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้ต้องเลื่อนการตัดสินใจออกไป และยังเป็นการทำให้ชีวิตการทำงานเกิดการติดขัด รวมไปถึงภาระที่ยังต้องเลี้ยงดูบิดามารดาที่แก่ชรา

ความเห็นที่ออกมาบนโลกโซเชียลมีเดียกล่าวว่า การเปลี่ยนกฎข้อบังคับไม่ช่วยต่อคู่สมรสใหม่ที่ต้องแบกรับบิลค่ารักษาพยาบาล ปัญหารายได้น้อยและตารางการทำงานที่สาหัสที่รู้จักในนาม 996 หรือตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม และ 6 วันต่อสัปดาห์

Tchaikovsky ผู้ใช้เว็บไซต์แพลตฟอร์มชื่อดังของจีนซินล่างเวย์ปั๋ว แสดงความเห็นว่า “ทุกชั้นของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข” และกล่าวต่อว่า “ใครจะเป็นคนเลี้ยงทารก คุณมีเวลาไหม ออกบ้านไปตั้งแต่เช้าและกลับมาถึงก็ดึกแล้ว เด็กๆ ไม่รู้ว่าพ่อแม่มีหน้าตาอย่างไร”

ขณะที่อีกคนใช้ชื่อว่า Hyeongmok แสดงความเห็นว่า “อย่ากลัวไปถึงปัญหาการชราภาพ เพราะเจเนอเรชันของพวกเราคงอยู่ได้ไม่นาน”

จีนพร้อมกับไทย และอีกบางชาติเศรษฐกิจเอเชียกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าความท้าทายที่คนเหล่านี้จะสามารถรวยได้ก่อนที่จะแก่ตัว

ประชากรจีนแตะ 1.4 พันล้านคนแล้ว และคาดว่าจะเพิ่มถึงขั้นสูงสุดภายใน 10 ปีนี้ก่อนที่จะเริ่มลดลง ซึ่งผลการสำรวจมโนประชากรที่ถูกเปิดเผยมาเมื่อวันที่ 11 พ.คชี้ว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า พร้อมเสริมว่าปัญหาสวัสดิการเกษียณ์ที่ไม่เพียงพอ และระบบสาธารณสุข และการลดลงจำนวนแรงงานในอนาคต เพื่อมาสนับสนุนการเติบโตของจำนวนประชากรวัยเกษียณอายุ

สัดส่วนประชากรวัยทำงานระหว่าง 15 ปี – 59 ปีนั้นลดลงไปอยู่ที่ 63.3% ในปีที่แล้วเมื่อเทียบกับตัวเลข 70.1% ของเมื่อ 10 ปีก่อนหน้า ขณะที่กลุ่มประชากรวัย 65 ปีและสูงกว่านั้นเพิ่มขึ้น 13.5% จากแต่เดิม 8.9% การเกิดใหม่ 12 ล้านคนที่ถูกรายงานในปี 2020 พบว่าต่ำลงเกือบ 1 ใน 5 ของปี 2019

และพบว่า 40% ของบุตรคนที่ 2 ต่ำลงไป 50% ในปี 2017 อ้างอิงจาก หนิง จี้เจ่อ (Ning Jizhe) ผู้อำนวยการสถิติแห่งชาติแถลง

นักวิจัยจีนและกระทรวงแรงงานจีนต่างระบุว่า สัดส่วนกลุ่มประชากรวัยแรงงานอาจตกลงไปครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดภายในปี 2050 ซึ่งการประชุมพรรค ซินหัวชี้ว่า ได้มีการลงความเห็นถึงความจำเป็นการยืดอายุการเกษียณออกไป แต่ยังไม่มีรายละเอียดออกมาแต่ทว่าทางรัฐบาลปักกิ่งได้เคยออกมาชี้แนวทางว่าอาจจะกำหนดอายุการเกษียณที่ 60 ปีของกลุ่มพนักงานบริษัทชาย และ 55 ปีของกลุ่มพนักงานบริษัทหญิง และ 50 ปีสำหรับกลุ่มที่ใช้แรงงานหญิง

ทั้งนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวว่าทางพรรคประสบความสำเร็จป้องกันไม่ให้มีการเกิดประชากรได้มากถึง 400 ล้านคน เลี่ยงปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำได้ แต่ทว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างชี้ว่าหากจีนยังคงเดินตามทิศทางแนวโน้มที่เกิดในไทย บางส่วนของอินเดียและประเทศอื่นๆ แล้ว จำนวนประชากรเกิดใหม่อาจต่ำเหลือแค่ไม่กี่ล้านคนก็เป็นได้

Source