หมดยุค It’s me แต่เป็น It’s WE! กับการมี Partner ที่รู้ใจสู่การทำ ‘Digital Optimism’ สู้โควิด


หากพูดถึงเรื่องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ดิจิทัล แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่บางองค์กรอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าต้องปรับตัว หรือยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ทำให้การปรับองค์กรไปสู่ดิจิทัลจึงยังไม่ได้เริ่ม จนกระทั่งการมาของ COVID-19 ที่เป็นการบังคับให้ต้องปรับตัว ล่าสุดงาน AIS Business Digital Future 2021- Your Trusted Smart Digital Partner งานสัมมนาในรูปแบบ Virtual Conference ที่รวมสุดยอดองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางดิจิทัลแห่งปี โดยมี Microsoft เป็น Digital Partner ซึ่งจะมาแนะแนวทางการปรับเปลี่ยนองค์กรว่าไม่ยากอย่างที่คิด


ธุรกิจในไทยยังปรับตัวช้ากว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business เปิดเผยว่า COVID-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ทุกองค์กรปรับตัวเร็วขึ้น โดยพบว่าไม่ว่าองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่มีการปรับตัวมากถึง 18-40 เท่า จากการทำงานแบบเดิม ขณะที่บริษัทระดับ Top 10 ของไทยสามารถใช้ดิจิทัลสร้างการเจริญเติบโตของรายได้มากถึง 5 เท่า และทำกำไรได้กว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มีแผนที่จะทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของประเทศไทยในการทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัลนั้นพบว่ามี Digital Leader เพียง 3% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 5% ส่วน Digital Adopters (ที่เริ่มเปิดรับดิจิทัล) มี 22% ขณะที่ทั่วโลกเฉลี่ย 23% แม้จะน้อยกว่าแต่หากดูภาพรวมแล้ว บริษัทในประเทศไทยที่ไม่มีแผนการนำดิจิทัลมาทรานส์ฟอร์มองค์กรมีเพียง 5% เท่านั้น เมื่อเทียบกับทั่วโลกที่มีสัดส่วนถึง 9%

“COVID-19 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกไปแล้ว ทำให้โลกออนไลน์และดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต องค์กรธุรกิจก็ต้องทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนมากขึ้น รวมถึงสร้าง New Business Model เพื่อตอบสนอง Lifestyle ใหม่เพื่อที่จะอยู่รอดท่ามกลางการระบาด”


5 Key Digital Enablers

สำหรับองค์กรที่ยังไม่ร้จะเริ่มทรานซ์ฟอร์มจากตรงไหน คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์, กรรมการผู้จัดการใหญ่,Microsoft (Thailand) ได้แนะนำ 5 Key Digital Enablers ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงการทำงานในยุคอนาคตที่สำคัญมีดังนี้

Future of Work: การทำงานในปัจจุบันต้องสามารถทำจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมา Microsoft ได้ออกแพลตฟอร์มสำหรับสร้างประสบการณ์การทำงานให้แก่องค์กรในยุคใหม่ ชื่อว่า “Microsoft Viva” ที่จะช่วยให้พนักงานสามารถบาลานซ์ในเรื่องของ Productivity, Well-being และ Learning เพื่อให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน

Journey to Cloud: แน่นอนว่าการไป Cloud จะช่วยในเรื่องงบที่น้อยลง Speed ที่เร็วขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาในหลายด้าน องค์กรควรเลือก Cloud Partnership ที่น่าเชื่อถือ ไม่ได้จบแค่ฟังก์ชั่นหรือฟีเจอร์ แต่ต้องความสามารถที่จะช่วยดูแลระบบให้องค์กรได้ตลอดการใช้งานพร้อมกับช่วยดูแลในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล

Data & AI: องค์กรควรจะต้องหาวิธีในการนำข้อมูลที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการนำข้อมูลมาสร้าง Customer Engagement หรือการนำข้อมูลมาปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การสร้างแบบจำลองการผลิตโดยใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ ประเมินผล และปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Security & Privacy: องค์กรควรให้ความสำคัญกับกระบวนการในการปกป้องข้อมูลทั้งข้อมูลภายในและข้อมูลของลูกค้าโดยช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยมีดีไวซ์กว่า 1.7 ล้านเครื่องถูกโจมตี ดังนั้น Microsoft มีคอนเซปต์ Zero Trust Principle Concept นั่นคือ คือการไม่ไว้ใจใครเลย และจำเป็นต้องตรวจสอบทุกคนหรืออุปกรณ์ทุกเครื่องอย่างเคร่งครัด

Skill: ในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่จะให้ทุกคนสามารถ Upskill หรือ Reskill ในการทำงานได้ โดย Microsoft ได้ร่วมกับ LinkedIn, GitHub ในการเข้าถึงคอร์สหรือหลักสูตรการเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้าน DevOps Engineer, Android/ iOS Developer, Data Scientist ได้ฟรี


หาพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจได้ (Trusted Digital Partner)

จากนี้ไปการทำงานต้องสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ไม่ใช่แค่บ้าน เช่นเดียวกันกับลูกค้าที่ต้องเข้าถึงบริการจากที่ไหนก็ได้ในโลก ต้องออกแบบกลยุทธ์และ Digital ให้ไปควบคู่กันไป ต้องมีการนำ Cloud มาใช้เพื่อเพิ่ม Speed และความคล่องตัว ใช้งาน AI เพื่อประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการวางระบบ Security เพื่อสร้างความปลอดภัยให้องค์กร เพื่อสร้าง ความไว้ใจหรือ Trust รวมถึงการ Up Skill, Re Skill พนักงาน

ดังนั้น ตอนนี้โลกหมดยุค ‘It’s me’ แต่เป็น ‘It’s WE!’ องค์กรธุรกิจตอนนี้จะทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องมี Partnership ในเชิง Business เพื่อทำงานร่วมกัน ช่วยกันสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Microsoft นั้นที่ได้ลงทุนเทคโนโลยี Intelligent Edge และ Intelligent Cloud แต่การจับมือกับ AIS ในประเทศไทยก็ถือเป็นการผสานเทคโนโลยีทั้งในส่วนของ 5G, Cloud, AI, IoT และอื่น ๆ อีกมากมายเข้าด้วยกัน

สุดท้าย องค์กรต้อง รู้ตนเอง ว่ามีปัญหาและเป้าหมายอะไรในการนำเทคโนโลยีมาใช้ รู้ลูกค้า ว่ามีความต้องการหรือปัญหาอะไรเพื่อจะ capture value เหล่านั้น รู้เทคโนโลยี ว่าใช้อะไรไปตอบโจทย์อะไรได้บ้าง และ รู้ partner ว่าใครจะช่วยนำ technology กับ business expertise มาประกอบกันให้สามารถปฏิบัติได้จริง

“ขอให้องค์กรถือเอาช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการที่จะนำ Digital Technology มาปรับเปลี่ยนให้องค์กรให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดย AIS และ Microsoft พร้อมที่เป็น Digital Partner ที่จะช่วยให้ท่านสามารถปรับเปลี่ยนองค์กรสู่อนาคต”  ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์, Microsoft (Thailand)

สำหรับธุรกิจองค์กรที่สนใจปรับการทำงานสู่ยุค Future of Work ไม่ว่าจะเป็นบริการ Microsoft 365 หรือ Microsoft Viva สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://business.ais.co.th/solution/microsoft365.html หรือหากองค์กรต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://business.ais.co.th/solution/microsoftazure.html หรือหากสนใจบริการดีๆจาก AIS Business Cloud สามารถอีเมล์มาได้ที่ businesscloud@ais.co.th