จากการเติบโตของ ‘อีคอมเมิร์ซ’ อีกธุรกิจที่เติบโตไปพร้อม ๆ กันราวกับเงาตามตัวก็คือ ‘โลจิสติกส์’ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ไทยถือเป็นประเทศที่มีผู้เล่นเข้ามาทำตลาดมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหนึ่งในนั้นก็คือ Ninja Van (นินจาแวน) บริษัทโลจิสติกส์สัญชาติสิงคโปร์ที่เข้ามาทำตลาดในไทยตั้งเเต่ปี 2559 ปัจจุบันมีเครือข่ายครอบคลุม 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม
เพียซ เอิง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ นินจาแวน กล่าวว่า อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยนั้นมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าคนไทยซื้อของออนไลน์โดยเฉลี่ย 1 ครั้งทุก 2 วัน เลยทีเดียว
นินจาแวนยอมรับว่า ด้วยความที่กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทเป็น SME คิดเป็นสัดส่วน 90% ดังนั้น จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงการระบาดทำให้บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาของการบริหารจัดการ เนื่องจากจำนวนสาขา และพนักงานที่ไม่เพียงพอต่อการเติบโต ทำให้บริษัทต้องหันไปจ้าง ‘เอ้าท์ซอร์ส’ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการยิ่งสูง
“โควิดทำให้ร้านรีเทลในอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ปริมาณในการส่งของเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเองก็รองรับไม่พอทั้งศูนย์และคนนี่เป็นชาเลนจ์เพราะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่แพลนเอาไว้ อีกทั้งยังมีการ Work from Home ทำให้การประสานงานติดต่อทำได้ยาก”
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลัง นินจาแวนมีแผนที่จะ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยการเปิดศูนย์คัดแยกพัสดุภายใต้พื้นที่กว่า 30 ไร่ ในไตรมาสที่ 4 โดยศูนย์ดังกล่าวสามารถรองรับพัสดุได้ 800,000 ชิ้น/วัน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคอีกกว่า 100 แห่ง จากปัจจุบันมี 200 แห่ง เพิ่มจุดรับ-ส่งสินค้า 200 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศไทย รวมถึงการเพิ่มจำนวนพนักงาน 1,000 คน จากเดิมมี 4,000 คน
“เรามั่นใจว่าการลงทุนจะช่วยให้เรารับและจัดส่งพัสดุได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถึงมือผู้รับในวันถัดไปครอบคลุมไปยังพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก”
อีกส่วนคือ การบริการ โดยเพิ่ม ‘เจ้าหน้าที่ดูแลเฉพาะราย’ สำหรับ SME รายย่อยเพื่อติดตามสถานะจัดส่งหรือติดต่อสอบถามเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องติดต่อคอลเซ็นเตอร์ ไม่ได้มีเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ และเพิ่ม ‘Line Messenger’ เพื่อติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้เพิ่ม การรับประกัน เพื่อสร้างความมั่นใจ อาทิ แคมเปญรับประกันส่งใน 2 วัน ถ้าเกินคืนเงิน และเคลมประกันภายในวันเดียว เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศที่มีคู่แข่งในตลาดมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการแข่งขัน ‘ราคา’ ก็ถือเป็นความท้าทายหลักในตลาดและของบริษัท อย่างไรก็ตาม นินจาแวนพยายามจุดแข็งด้านการบริการ มากกว่าจะลงไปเล่นเรื่องราคาเพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมขาดทุนย่อยยับ ดังนั้น ราคาต้องเหมาะสมคุ้มค่า ปัจจุบันค่าส่งเริ่มต้นที่ 23 บาท
อย่างไรก็ตาม การณีที่คู่แข่งเจอปัญหาเรื่องโควิดจนต้องปิดสาขา ทางนินจาแวนแม้จะมีแผนรองรับทำให้การส่งของไม่ได้ล่าช้าเกินไป แต่ไม่ได้มองว่าเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโต เพราะมองว่าด้วยการเติบโตของอีคอมเมิร์ซนั้นทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์เติบโตอย่างรวดเร็วมากอยู่แล้ว ซึ่งสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซยังมีเพียง 3-5% เท่านั้น ดังนั้นเชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยนินจาแวนคาดว่าภายในสิ้นปีจะสามารถเติบโตได้ 300% มีอัตราการจัดส่งที่ 2-3 แสนชิ้น/วัน จากปีที่ผ่านมามี 1 แสนชิ้น/วัน