ผ่านมาหนึ่งปีกว่าแล้วที่โรงเรียน สถานศึกษาทั้งหลายต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจไม่ทันได้เตรียมรับมือเพื่อจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ รายงานการสำรวจฉบับล่าสุดที่จัดทำขึ้นโดย เลอโนโว และ ไมโครซอฟท์ พบว่า นักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนเริ่มเข้าใจถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของการเรียนออนไลน์ และเริ่มที่จะสนุกไปกับการใช้ประโยชน์จากการเรียนออนไลน์ อย่างไรก็ตามการเรียนออนไลน์ก็ยังมีอุปสรรค โดยอุปสรรคนี้ไม่ใช่การขาดแคลนการเข้าถึงเทคโนโลยี แต่เป็นการไม่รู้จักใช้โซลูชันที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งความท้าทายด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเนื่องจากการเรียนออนไลน์ที่ปัจจุบันกินระยะเวลามานาน
การปิดโรงเรียนในหลายๆ ประเทศเกือบตลอดทั้งปี 2020 นี้ทำให้ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และนักเรียนนักศึกษาต่างเผชิญกับความท้าทายของเทคโนโลยีการเรียนรู้ใหม่ๆ การศึกษานี้ช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าครูผู้สอน ผู้ปกครอง และนักเรียนนักศึกษาได้ปรับตัวให้เข้ากับการเรียนออนไลน์อย่างไรบ้างในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ความท้าทายที่แท้จริงมีอะไรบ้าง และมีแนวทางแก้ไขใดบ้างที่นำมาปรับใช้เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีการเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การศึกษานี้ได้สำรวจนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครอง และครูผู้สอนประมาณ 3,400 คน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ e – learning ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และยังสำรวจว่าเทคโนโลยีสามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษาและสนับสนุนการเรียนรู้ได้อย่างไร โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญ YouGov และ Terrapin ได้ดำเนินการสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ผลการสำรวจที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
เทคโนโลยีการศึกษากลายเป็นบรรทัดฐานในช่วงปีที่แล้วโดยมีผลลัพธ์ที่หลากหลาย
ครูผู้สอน และนักเรียนนักศึกษา มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของชั้นเรียนออนไลน์ที่มีต่อผลประสิทธิภาพด้านการศึกษา ครูผู้สอนแสดงความคิดเห็นในทางที่ดีเกี่ยวกับประสิทธิภาพการสอนทางออนไลน์ โดย 59% มั่นใจว่ามีประสิทธิภาพการสอนที่ดีขึ้น และ 24% เชื่อว่ายังคงรักษาระดับของประสิทธิภาพไว้ได้ อย่างไรก็ตาม การประเมินของนักเรียนนักศึกษามีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ประมาณหนึ่งในสามของนักเรียนเชื่อว่าประสิทธิภาพของตนดีขึ้น อีกสามส่วนเชื่อว่ายังคงเหมือนเดิมในช่วงเรียนออนไลน์ และอีกสามส่วนที่เหลือเชื่อว่าประสิทธิภาพการเรียนของตนลดลง
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแล้ว นักเรียนนักศึกษา และครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นในปีที่ผ่านมา แนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดย 66% ของนักเรียนนักศึกษาและ 86% ของครูผู้สอนคาดว่าจะใช้จ่ายไปกับเทคโนโลยีการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นในปีที่จะมาถึงนี้
การเข้าถึงและความสะดวกสบายถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของการเรียนออนไลน์
การเข้าถึง และความยืดหยุ่น ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการเรียนออนไลน์สำหรับนักเรียนนักศึกษา รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงเนื้อหาและสื่อการเรียนที่หลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก ในขณะเดียวกัน ครูผู้สอนมองว่าการรวมศูนย์สื่อการสอนให้มาอยู่ในแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายเพียงที่เดียวนั้นเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัด เช่น Microsoft Teams สำหรับการศึกษารวมทั้งผู้ที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า e – learning ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน และช่วยให้เกิดการเรียนรู้และการสนับสนุนในแบบส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
นักเรียนนักศึกษา และครูผู้สอน ต่างก็ตระหนักถึงความต้องการของตนแต่เพิ่งเริ่มใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่มีอยู่
นักเรียนนักศึกษา และผู้ปกครองกล่าวว่า เทคโนโลยีที่ให้ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ประสิทธิภาพที่ยืดหยุ่น และคุณประโยชน์อย่างต่อเนื่องเป็น “สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง” และมีเพียง 17% เท่านั้นที่มองว่าค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดสำหรับโซลูชันเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ 75% ของครูผู้สอนยังให้ความสำคัญเรื่องการรักษาความปลอดภัยเฉพาะสำหรับการศึกษา, การรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล(79%), ฟีเจอร์การทำงานร่วมกัน(64%), เครื่องมือสำหรับการประเมินนักเรียนนักศึกษา(63%), ความง่ายในการใช้งานทั่วไป (59%) และฟีเจอร์การเข้าถึง(53%) ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่ (72%) ใช้แล็ปท็อปและ 29% ใช้แท็บเล็ตในการเรียนออนไลน์ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้โซลูชันการเรียนรู้แบบเต็มรูปแบบ
นักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนพบว่ามีวิธีรับมือกับการสนับสนุนทางเทคนิค แต่การเสียสมาธิ การมีส่วนร่วม และการปลีกตัวอยู่ลำพังก็ยังคงเป็นอุปสรรค
การเว้นระยะห่างทางกายภาพไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับนักเรียนนักศึกษาหรืออาจารย์ในการขอรับการสนับสนุนทางเทคนิคที่ต้องการในขณะที่เรียนออนไลน์หรือ e-learning แม้ว่าทีมสนับสนุนทางเทคนิคของสถานศึกษาหลายแห่งไม่สามารถรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่นักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนต่างก็พบว่ามีแหล่งสนับสนุนอื่นๆ
โดยนักเรียนนักศึกษามักจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชั้น เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวที่อายุน้อยมากกว่า ในทำนองเดียวกัน 32% ของครูผู้สอนพยายามค้นหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาเทคนิคด้วยตนเอง อีก 31% ขอความช่วยเหลือจากครูท่านอื่น และ 11% ขอความช่วยเหลือจากเด็กที่อยู่ในละแวกบ้านใกล้เคียงกัน
ปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมที่ลดน้อยลงเป็นปัญหาที่ทั้งนักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนมากกว่าครึ่งเผชิญ โดย การสำรวจทำให้พบว่า นักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนเกินครึ่งมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่อ่อนแอลงในช่วงเรียนออนไลน์ ทั้งนี้ความท้าทาย 4 อย่างที่นักเรียนนักศึกษา และผู้ปกครอง ลงความเห็นพ้องกันจากการเรียนออนไลน์คือ เรื่องสมาธิในการเรียน, แรงจูงใจในการเข้าชั้นเรียนออนไลน์ที่บ้านมีน้อย, การขาดโอกาสได้พบปะมีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์/เพื่อนร่วมชั้น และเรื่องความโดดเดียวจากการต้องเว้นระยะห่างทางสังคม
แม้ว่าแอปพลิเคชันการประชุมทางวิดีโอมีช่องทางในการมีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ที่หลากหลาย แต่การเข้าชั้นเรียนทั้งหมดผ่านหน้าจอกลับเป็นความท้าทายสำหรับนักเรียนนักศึกษา โดย 75% ของครูผู้สอนกล่าวว่า “นักเรียนไม่มีสมาธิเมื่อต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์” ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่ง
รูปแบบการสมัครใช้บริการใหม่ๆ การทำงานร่วมกันและอุปกรณ์ที่ชาญฉลาดมากขึ้นช่วยปลดล็อกศักยภาพในการเรียนออนไลน์ได้
แม้ผลสำรวจจะชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ทั้งนักเรียนนักศึกษาและครูผู้สอนต่างตระหนักถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มีต่อการศึกษา แต่การดึงศักยภาพของเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ให้ได้เต็มประสิทธิภาพนั้นยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยทั้งนักเรียนนักศึกษา และครูผู้สอนต่างกำลังมองหาวิธีการที่จะเรียนรู้ร่วมกันผ่านเทคโนโลยีที่สามารถก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทั้งระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และกับเนื้อหาของการเรียน
โลกได้เข้าสู่สภาวะ New Normal และการศึกษาก็กำลังก้าวเข้าสู่การเรียนการสอนยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง เข้าถึง เสมือนอยู่ในชั้นเรียนจริง ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกชั้นเรียน