ช่วงเดือนที่ผ่านมา จะมีข่าวว่า ‘จีน’ กำลังเจอกับวิกฤตพลังงาน ซึ่งยิ่งส่งผลต่อซัพพลายเชนทั่วโลก แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่จีน เพราะ ‘อินเดีย’ อีกประเทศยักษ์ใหญ่ของเอเชียก็กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านพลังงานเช่นกัน และหากปัญหายืดเยื้อ ซัพพลายเชนทั่วโลกจะยิ่งได้รับผลกระทบ
โรงไฟฟ้าในอินเดียใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัง คิดเป็นประมาณ 70% ของการผลิต แต่ปริมาณถ่านหินที่อยู่ในคลังกลับมีระดับต่ำอย่างยิ่ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งยิ่งกระตุ้นความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 6 ต.ค. 80% ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 135 แห่งของอินเดียมีปริมาณถ่านหินเหลือใช้น้อยกว่า 8 วัน และมากกว่าครึ่งเหลือถ่านหินใช้งานได้ไม่เกินสองวัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ปริมาณถ่านหินเฉลี่ยที่โรงไฟฟ้ามีอยู่นั้นจะสามารถใช้งานได้ 18 วัน
“เราควรเห็นระดับสต็อกจะสูงถึง 8 ถึง 10 วันอีกครั้งในเดือนธันวาคม แต่ชัดเจนว่าจะไม่ขึ้นไปถึงระดับ 18 วัน ดังนั้น จำเป็นต้องมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดในอีกหกเดือนข้างหน้า” Hetal Gandhi ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัทจัดอันดับ CRISIL ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ S&P Global กล่าว
อินเดียถือเป็นผู้นำเข้าถ่านหินรายใหญ่อันดับสามของโลก แม้ว่าจะมีถ่านหินสำรองจำนวนมากก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาถ่านหินในต่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับปัญหาด้านโลจิสติกส์ ทำให้การนำเข้าลดลงอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม การนำเข้าลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ถ่านหินในประเทศก็เจอปัญหาฝนที่ตกหนักในฤดูมรสุมได้ส่งผลกระทบต่อการส่งถ่านหินไปยังโรงไฟฟ้า ในขณะที่ภาคส่วนที่นอกเหนือจากพลังงานก็มีความต้องการใช้งานถ่านหินเพิ่มมากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม, เหล็ก, ปูนซีเมนต์ และกระดาษ ที่ต้องใช้การเผาไหม้ในปริมาณมาก ทำให้ความต้องการมีมากกว่าปริมาณถ่านหิน
“ถ่านหินในประเทศของอินเดียมีค่าความร้อนที่ต่ำกว่า ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องนำเข้าถ่านหินมากขึ้น”
อินเดียกำลังจะมีงานเทศกาลซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้การบริโภคมีแนวโน้มที่จะถึงจุดสูงสุด ความต้องการพลังงานอาจเพิ่มขึ้นอีก และสถานการณ์อาจเลวร้ายลง อาจส่งผลต่อการส่งออกของอินเดีย